เฟร์นานโด ตอร์เรส ประเดิมทีมใหม่เล่นได้ไม่ดีนัก และ เชลซี ก็มาโดนทีมเก่า ลิเวอร์พูล บุกมาเอาชนะถึงถิ่นได้ 1-0 จากประตูโทนของ ราอูล เมยเรเลส
สุดยอดบิ๊กแมตช์ประจำสัปดาห์ ที่แฟนบอลเฝ้าจับตามอง โดยเกมนี้ เชลซี ใส่ชื่อ เฟร์นานโด ตอร์เรส กองหน้ารายใหม่ที่เพิ่งจะย้ายมาจาก ลิเวอร์พูล ลงสนามเป็นตัวจริงทันทีในเสื้อหมายเลข 9 โดยประสานงานร่วมกับ นิโกล่าส์ อเนลก้า และ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ส่วน ลิเวอร์พูล ได้เจมี่ คาร์ราเกอร์ ที่หายจากอาการบาดเจ็ บกลับมาช่วยคุมแนวรับที่มีแผงหลัง 5 คน ส่วนแนวรุก หลุยส์ ซัวเรซ ยังเป็นแค่ตัวสำรองก่อน เดิร์ค เคาท์ ยืนกองหน้าตัวเป้าในเกมนี้แทน
เกมเริ่มขึ้นเพียงครึ่งนาที มิเคล ก็โดนใบเหลืองแรกของเกมเมื่อไปสอย สตีเว่น เจอร์ราร์ด ร่วงลงไป แต่จากนั้น ตอร์เรส ก็ได้จังหวะลองส่องทีมเก่าเป็นหนแรกเมื่อ มักซี่ จ่ายพลาดไปเข้าเท้าเพื่อนเก่า ก่อนที่ ตอร์เรส จะลากจี้และตัดสินใจยิงจากระยะ 25 หลาแต่บอลโด่งข้ามคานออกไป
หลังจากนั้นทั้งสองทีมเล่นกันอย่างสูสี เป็นการดูเชิงกันเสียมากกว่า กว่าจะมีจังหวะได้ง้างเท้ากันอีกครั้งก็ต้องรอนาทีที่ 16 โดย ดร็อกบา ได้ลากจี้ก่อนจะสับไกยิงบอลกระเด้งพื้นออกไปแบบไม่ค่อยได้ลุ้น
ทรงบอลของทั้งสองทีมไม่มีใครได้เปรียบ แต่ เชลซี เริ่มเป็นฝ่ายที่บุกขึ้นมากดดันในแดน ทีมเยือนได้มากขึ้นเรื่อยๆ และมีจังหวะใกล้เคียงขึ้นในนาทีที่ 26 จากลูกเตะมุม แฟรงค์ แลมพาร์ด เปิดเข้ามาถึง อิวาโนวิช โฉบโหม่งบอลถากเสาออกไป
แต่จากนั้น ลิเวอร์พูล เริ่มครองบอลได้บ้าง แต่ก็เกือบจะเสียท่าเพราะประมาทโดย ลูคัส พลาดเสียบอลให้ ดร็อกบา แถวกลางสนามก่อนที่จะจ่ายต่อให้ ตอร์เรส ทะลุเข้าเขตโทษแล้วตัดสินใจยิงตามน้ำทันที แต่ว่ามี คาร์ราเกอร์ ตามมาบล็อกได้ทัน
นาทีถัดมา ลิเวอร์พูล ได้โอกาสลุ้นครั้งแรก โดยจังหวะโต้กลับมา เคาท์ ได้บอลก่อนจะไหลให้ เมยเรเลส เติมมาวางเท้ายิงแต่ตรงตัว เช็ก ก่อนที่น่าจะได้ประตูขึ้นนำสุดๆ เมื่อเปิดเกมขึ้นมาถึงกรอบเขตโทษ เจอร์ราร์ด ลองเปิดวัดใจไปที่เสาไกล ปรากฏบอลเลยมาถึง มักซี่ ยืนโล่งๆคนเดียวแต่ยิงระยะเผาขนพลาดไปชนคานอย่างน่าเสียดาย
ช่วง 15 นาทีที่เหลือของครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ทำได้ดีกว่าในเรื่องรูปเกมโดยปิดโอกาสของเชลซี ได้หมด ขณะที่เกมรุกก็เริ่มครองบอลหาช่องได้บ้างแต่ก็ยังทำอะไรกันได้ไม่ถนัดนัก ทำให้จบครึ่งแรกยังเสมอกันอยู่ 0-0
ครึ่งหลังกลับมาสู้กันใหม่ โดยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่น แต่เกมดูจะแลกกันออกรสชาติกว่าครึ่งแรก เชลซี พยายามปรับจังหวะการขึ้นบอลให้เร็วขึ้น ขณะที่ ลิเวอร์พูล ก็พยายามจะหาโอกาสส่องไกลบ้าง โดย เกล็น จอห์นสัน มีจังหวะได้ลองยิงไกลเฉี่ยวคานออกไป
ถัดมานาทีที่ 53 เชลซี ลุยขึ้นมาได้น่ากลัว โดยทะลุมาถึงเขตโทษและเป็น ดร็อกบา ที่ได้ยิงไปแฉลบออกไป จากนั้นในลูกเตะมุม อเนลก้า ได้โหม่งหลุดกรอบออกไป ก่อนที่ อเนลก้า จะสบโอกาสได้ยิงแฉลบ ลูคัส ออกไป โดยลูกเตะมุมต่อมา แลมพาร์ด เปิดเข้ามาให้ อิวาโนวิช โหม่งข้ามคานออกไป เป็นการจบคอมโบ้ชุดใหญ่ของเจ้าบ้าน
เชลซี ยังเป็นฝ่ายที่คุมเกมได้ และมีโอกาสลุ้นนาทีที่ 64 เมื่อ ลิเวอร์พูล พลาดเปิดพื้นที่ให้ อเนกล้า มีจังหวะได้ลองส่องไกลจากระยะ 25 หลาบอลถากเสาออกไป ก่อนที่ อันเชล็อตติ จะถอดเอา ตอร์เรส ออกและส่ง ซาโลมง กาลู ลงมาแทน
2 นาทีถัดมา เอสเซียง มีจังหวะได้ลองลุ้นส่องไกลบ้างเหมือนกัน และทำได้ใกล้เคียงขึ้น โดยยิงด้วยซ้ายบอลเฉี่ยวคานออกไปนิดเดียวเท่านั้น แต่มาถึงนาทีที่ 69 ลิเวอร์พูล กลับมาได้ประตูขึ้นนำก่อน จากจังหวะการเปิดบอลทางขวาของ เจอร์ราด เคาท์ วิ่งโฉบหลอกทำให้ เช็ก เสียจังหวะตัดบอลพลาด บอลเลยมาถึง เมยเรเลส สำเร็จโทษเข้าไปให้ทีมเยือนนำ 1-0
งานเข้าแบบนี้ อันเชล็อตติ ส่ง ฟลอร็องต์ มาลูด้า มาแก้ไขเกมรุก และเกือบเป็นตัวทีเด็ดเหมือนกัน โดยได้บอลจ่ายทะลุช่องมาจาก อเนลก้า ก่อนหลุดเข้าไปถึงเขตโทษ และได้ซัดด้วยซ้ายเต็มๆแต่ว่า มุมแคบเลยโดน เรน่า ปัดบอลออกไปได้หวุดหวิด จากนั้น ดาวิด หลุยซ์ ก็ถูกส่งลงมาอีกคน
ด้าน ลิเวอร์พูล เคนนี่ ดัลกลิช ส่ง ฟาบิโอ ออเรลิโอ มาแทน มักซี่ เพื่อเติมความแน่นในแดนกลาง และก็เกือบจะทำประตูได้ในนาทีที่ 80 โดยเริ่มจากจังหวะปัญหาเมื่อ เชลซี เปิดเกมเข้าเขตโทษ ลิเวอร์พูล และบอลไปโดนมือ ลูคัส แต่ผู้ตัดสินไม่เป่าให้จุดโทษ ทีมเยือนโต้กลับมาเป็น เคาท์ ลากจี้ก่อนไหลให้ ออเรลิโอ ที่เติมมาก่อนจะล็อกแต่งเข้าขวาแล้วซัดแต่ เช็ก ก็เซฟเอาไว้ได้
ช่วงเวลาที่เหลือ ลิเวอร์พูล รักษาสกอร์เอาไว้ได้จนหมดเวลา สามารถบุกมายัดเยียดความปราชัยให้กับ เชลซี ได้ 1-0 ขึ้นไปอยู่อันดับ 6 เรียบร้อย