ผู้เขียน หัวข้อ: ค่ำคืนแห่งประวัติศาสตร์~!! "สิงห์ไฮโซ" ดวลเป้าเหนือ "เสือใต้" ซิวแชมป์ CL ~!!  (อ่าน 1662 ครั้ง)

Armin

  • Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 11485
    • ดูรายละเอียด

ในที่สุดก็กลายเป็นค่ำคืนแห่งประวัติศาสตร์ของ "สิงห์โตน้ำเงินคราม" เชลซี ไปจนได้ เมื่อพวกเขาทำความฝันสำเร็จสามารถคว้าถ้วยแชมป์เปี้ยนส์ ลีกได้เป็นครั้งแรก หลังเบียดลุ้นกับ "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค จนถึงหยดสุดท้าย ก่อนจะดวลเป้าเอาชนะไป 4-3 ซูฮก "ดิ มัตเตโอ" กันไปเลย



ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ
วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม 2555
สนาม อารีอันซ์ อารีน่า
บาเยิร์น มิวนิค 1 - 1 เชลซี
(เชลซีเอาชนะไปด้วยการดวลจุดโทษ 4-3)

ที่สุดแห่งนัดสำคัญประจำเวทียุโรปได้อุบัติขึ้น เมื่อ "พี่เสือ" บาเยิร์น มิวนิคและ "สิงห์ไฮโซ" เชลซี ต้องลงชิงชัยกันในรองชิงชนะเลิศ แชมป์เปี้ยนส์ ลีกซึ่งมีถ้วยแชมป์เป็นเดิมพัน

           เริ่มเกมมาได้แค่ 2 นาที เล่นยากแล้วสำหรับชไวน์สไตเกอร์ เพราะเขาดันไปทำให้ตัวเองโดนใบเหลืองในจังหวะที่พยายามจะกันลูกสวนกลับของเชลซี เลยไปทำแฮนด์บอลแบบเจตนา ผู้ตัดสินไม่มีปราณีควักใบเหลืองเอาไปชิมเบาๆ

ผ่านช่วง 10 กว่านาทีแรกไป เกมถือว่าเร็วน่าดูสำหรับทั้งสองทีม เพราะไม่มีการกั๊กจังหวะกันเลยแม้แต่น้อย บอลตกอยู่ที่ฝ่ายไหนก็พยายามเดินเกมรุกใส่อีกฝั่งทันที เพียงแต่อะๆรมันยังไม่เข้าที่เท่าไหร่ โอกาสยิงเลยไม่มีให้เห็น

เกมตอนนี้ยิ่งผ่านไปเรื่อยๆ ทางบาเยิร์นก็ดูจะเข้าที่เข้าทางปรับจูนเกมได้มากกว่าเชลซี กลายเป็นฝ่ายครองบอลได้เยอะและมีโอกาสขึงใส่อย่างต่อเนื่อง จนเกมรับของ "สิงห์ไฮโซ" เกือบรวน โบซิงวาเตะแป้กไป ดีที่บอลปลิ้นออกหลังไม่ไปเข้าทางของแข้ง "เสือใต้" เขา

นาทีที่ 21 เกือบจะทำประตูทีมเก่าได้อยู่แล้วเชียวสำหรับร็อบเบน ในจังหวะที่เขาแตะบอลเหมือนจะเล่นชิ่งกับเพื่อน แต่มีการปล่อยทะลุผ่าน เจ้าตัวเลยหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษ พร้อมทำหน้าซีเรียสซัดด้วยเท้าซ็ายหมายให้เข้าเบียดเสาเข้าประตูไป แต่บอลไปติดเท้าของเช็กที่แม้ตัวจะขยับไม่ทัน แต่ขาหลักยังบล็อกเอาไว้ได้ บอลปลิ้นไปชนสามเหลี่ยมเด้งออกมา ก่อนที่จะมีการชุลมุนเคลียร์ทิ้งไปก่อน ดูแล้วเสียวแทนสุดๆ

ผ่านเกมช่วงครึ่งชั่วโมงแรกไป ยังเป็นบาเยิร์นที่ได้ครองบอลและมีจังหวะบุกที่มากครั้งกว่าเชลซีอยู่ โดยตัวแทนจากอังกฤษจะหนักไปทางใช้เกมสวนกลับมากกว่า แต่ถึงรวมๆแล้สถือว่าเป็นเกมที่สูสีมากจริงๆ

นาทีที่ 34 จังหวะนี้เล่นง่ายไปหน่อยสำหรับริเบรี่ เพราะบาเยิร์นอุตส่าห์ต่อบอลสวยๆกันมาตั้งแต่แดนกลาง พอบอลมาถึงเขาก็จัดการลากตัดเข้าในให้บอลติดเท้าขวาตามสเต็ป แม้ว่าจังหวะจะไม่ค่อยให้ แต่เจ้าตัวกลับฝืนยิงซะงั้น บอลเลยพุ่งหลุดออกหลังไปแบบไม่ได้ลุ้นอะไร

อีก 2 นาทีต่อมา กองหลังเชลซีเกือบไปเลยสำหรับลูกนี้ เพราะปล่อยให้บาเยิร์นเปิดบอลจากด้านข้างเข้าไปหน้าประตูได้ ก่อนที่โกเมซจะวิ่งเข้ามาบวกโล่งๆคนเดียว แต่เหมือนโดนไม่ดี บอลเลยหลุดออกหลังไป จังหวะนี้ถ้าเข้ากรอบ เช็กคงยากจะรับได้แน่

นาทีที่ 38 ถึงจะนานไปหน่อย แต่ยังดีกว่าไม่มาสำหรับโอกาสแรกของเชลซี ในจังหวะที่หลังบาเยิร์นแอบหลวม ปล่อยให้ "สิงห์ไฮโซ" ถ่ายบอลออกขวาไปทางกาลูที่วิ่งเติมแบบโล่งๆขึ้นมาซัดทันทีไปที่เสาแรก แต่นอยเออร์ที่นานๆทีจะเห็นหน้าในเกมนี้ก็กันเอาไว้ได้เหนียวแน่นไม่มีพลาด

นาทีที่ 43 เสียดายกันแทบทั้งสนามเลย สำหรับจังหวะนี้ของโกเมซ เมื่อบาเยิร์นทำชิ่งกันได้สวย แม้ว่ามุลเลอร์จะโดนกองหลังเชลซีแท็คจนร่วงไปในจังหวะพยายามจะแทรกเข้าเขตโทษ แต่บอลหลุดไปถึงโกเมซที่ปล่อยจังหวะหลอกเคฮิลล์ซะหลง บอลเข้าทางซ้ายตั้งป้อมยิงเต็มๆ แต่เหมือนช้อนใต้ลูกเกิน เลยหลุดโด่งไปไกลถึงไหนต่อไหน

จบ 45 นาทีแรกลงไปแบบลุ้นน่าดู เพราะแม้ว่าบาเยิร์นจะบุกได้มากกว่า แต่ดูกระแสของเกมถือว่าไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก เพราะเชลซียังคงเล่นเกมรับกันได้อย่างมีวินัย เกมรุกก็พร้อมสวนอยู่ตลอด ทำให้ช่วง 45 นาทีที่เหลือคงจุใจแฟนบอลที่จับจ้องกันทั่วทั้งโลกอยู่อย่างเป็นแน่แท้

         ต่อมาในช่วงของครึ่งหลังในนาทีที่ 54 เก้อกันถ้วนหน้าเลยสำหรับแฟนบาเยิร์น เพราะลูกยิงของริเบรี่ที่ไปเก็บตกจากการสกัดไม่ขาดของโคลซึ่งซัดผ่านเช็กเข้าประตูไปนั้นไม่ได้เป็นสกอร์ เนื่องจากไลน์แมนยกธง ซึ่งเมื่อดูจากภาพช้าแล้วก็ล้ำจริง แต่แค่ก้าวเดียวเท่านั้น

ผ่านหนึ่งชั่วโมงเต็มของเกมไป บอกได้เลยว่ายากจะคาดเดาจริงๆสำหรับผลในวันนี้ เพราะถึงบาเยิร์นจะยังคงรักษามาตรฐานในการขึ้นเกมของพวกเขาได้เรื่อยๆ แต่พื้นที่สุดท้ายยังไม่ดีพอ ส่วนเชลซีโอกาสน้อยกว่าเยอะ แต่ไอ้แบบนี้ขอโป้งเดียวก็อาจจะปิดบัญชีได้เลยเหมือนกัน

ถือว่ายังกดดันได้ดีเรื่อยๆสำหรับบาเยิร์น แต่ปัญหาอย่างที่เห็นกันไปก่อนหน้านี้คือพวกเขายังหาช่องทางเจาะแนวนับของเชลซีที่วันนี้ยืนกันแน่นหนาไปไม่ได้เลย ถ้ายื้อไปเรื่อยๆอาจจะกดดันตัวเองได้เหมือนกัน

นาทีที่ 69 เป็นอีกจังหวะที่กองหลังเชลซีแม้ว่าจะหลุดไปบ้างในตอนแรก แต่ก็มีตัวซ้อนยืนบังได้ดี ในจังหวะที่โครสได้วิ่งสอดขึ้นมายืนตั้งป้อมยิงบริเวณกรอบเขตโทษ แต่ก็ติดบล็อกของลูอีซที่ยืนสกัดเอาไว้ได้

นาทีที่ 72 ความผิดพลาดของกองหลังบาเยิร์นเกือบจะมาซึ่งประตูของเชลซีเลย เมื่อกองหลังไปเข้าบอลพลาดใส่ดร็อกบา ปล่อยให้แทลงสาบโบยบินลากไปถึงสุดสเส้นหลัง ก่อนที่จะเปิดกลับเข้าไปให้เพื่อนที่เติมมาเสาสองมีโอกาสจะจ่อยิงโล่งๆ ถ้าหากว่าไม่มีคอนเทนโต้ที่วิ่งมาสกัดทิ้งไปก่อนแบบหวุดหวิดมากมาย

อีก 1 นาทีต่อมา ถือว่าสู้ได้ดีแล้วสำหรับดาวรุ่งอย่างเบอร์ทรานด์ที่วันนี้ได้ขยับไปเล่นปีกซ้ายและลงเป็นเกมแรกในถ้วยยุโรป ซึ่งเขาถูกเปลี่ยนตัวออกไป โดยเชลซีส่งมาลูด้าลงเล่นแทน

นาทีที่ 76 เกือบจะกลายเป็นลูกเฮงซะแล้ว สำหรับบาเยิร์ย เมื่อเชลซีไปทำเอ๋อจ่ายอลเข้าเท้าผู้เล่นบาเยิร์น ก่อนที่บอลจะหลุดไปถึงร็อบเบนที่ลากถึงเส้นหลัง เปิดแฉลบตัวบล็อก แต่บอลไม่ออกแล้วย้อยเข้าหาประตู แต่เป็นเช็กที่กระโดดลอยตัวปัดทิ้งข้ามคานไปได้ก่อน

เห็นแววต่อเวลามาแต่ไกล เมื่อเกมยังไม่มีจังหวะชี้ขาดให้เห็นและตอนนี้เวลาก็ดำเนินมาถึงช่วง 10 นาทีสุดท้ายแล้ว ถ้ายังเล่นกันได้แบบไม่มีผิดพลาด ยังไงแฟนๆคงได้ดูต่อเวลากันตาแฉะแน่นอน

นาทีที่ 83 ประตูที่อาจจะเป็นประตูชัยบังเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อบาเยิร์นขึงกันเต็มที่ ก่อนที่จะโยนยาวเข้าไปกรอบเขตโทษบอลเลยไปเสาสอง กองหลังของเชลซีเหมือนจะพลาดเพราะไม่มีใครตามประกบมุลเลอร์ที่เทคตัวพุ่งเข้ามาโหม่งกดลงพื้น ก่อนที่เสยหน้าเช็ก เช็ดคานเข้าประตูไป สนามแทบแตก บาเยิร์นขึ้นนำ 1-0

นาทีที่ 88 ได้เฮไม่นานบาเยิร์นที่แทบจะไม่ระคายอะไรก็มาพลาดลูกตั้งเตะของเชลซีในจังหวะที่ดร็อกบาแฝงกายอยู่ภายนอก ก่อนที่จะขยับวิ่งตีเข้าไปเทคตัวโหม่ง แม้ว่าระยะจะไกลพอดู แต่บอลแรงเหมือนใช้ตีนเตะ นอยเออร์ปัดได้ก็จริง แต่นั่นไม่พอ บอลปลิ้นเข้าประตูไป เชลซีตีเสมอ 1-1 จะดราม่าไหมนะเกมนี้

ช่วงทดเวลานาทีสุดท้ายเชลซีมีโอกาสที่จะทำประตูชัยได้จากลูกฟรีคิกระยะน่ารักน่าลุ้น แต่ดร็อกบากลับหวดโด่งไปไกล ทำให้จบ 90 นาทีเสมอกัน 1-1 ต้องไปลุ้นกันต่อแบบยาวๆ

ช่วงต่อเวลาพิเศษ
          นาทีที่ 93 นี่มันดราม่าชัดๆ เพราะดร็อกบาที่เป็นคนทำประตูตีเสมอให้ทีมมีจนมีลุ้นในช่วงต่อเวลา กลับไปทำเสียจุดโทษจากจังหวะที่ลงไปช่วยเกมรับแล้วเตะขาริเบรี่เข้าอย่างจัง แต่กลับกลายเป็นว่าร็อบเบนที่รับหน้าที่สังหารซัดไปติดเซฟของเช็กเข้าซะงั้น มันช่างบีบหัวใจคนดูจริงๆ

กลายเป็นข่าวร้ายซ้ำสองของบาเยิร์น เมื่อริเบรี่ที่โดนเตะไปดันเจ็บหนักจนเล่นต่อไม่ได้ ทำให้ต้องส่งโอลิชลงไปเล่นแทน

ช่วงเวลาที่เหลือในการเล่นต่อเวลาครึ่งแรกทั้งสองทีมยังคงทำเกมบุกใส่กันแบบไม่มีหยุด แต่เกมรับก็เหนียวแน่นไม่คลายด้วย ทำให้ไม่มีการทำประตูกันได้และต้องไปลุ้นอีก 15 นาทีที่เหลือว่าจะได้ดวลจุดโทษหรือไม่

นาทีที่ 108 นี่น่าจะเป็นประตูชัยของบาเยิร์นสุดๆ เพราะจังหวะที่พวกเขาเล่นต่อแม้ว่าดร็อกบานอนเจ็บอยู่นั้นบอลโยนลึกเข้าไปให้กับโอลิชทางด้านซ้าย ก่อนที่จะแปแบบเน้นๆเข้ากลาง หมายให้ฟาน บุยเต็นเข้าฮอส แต่เหมือนจะออกตัวไม่ตรงจังหวะ ทุกอย่างเลยสายไป น่าเสียดายแท้เหลา

จบ 120 นาทีไม่มีการทำประตูกันเกิดขึ้นอีก ทำให้ต้องไปวัดกันที่การดวลจุดโทษ ลุ้นกันแบบเต็มสูบเต็มสุดไปเลยในเกมนี้

ดวลจุดโทษ

บาเยิร์น มิวนิค 1 - 0 เชลซี (ลาห์มยิงเข้า)

บาเยิร์น มิวนิค 1 - 0 เชลซี (มาต้าพลาด)*

บาเยิร์น มิวนิค 2 - 0 เชลซี (โกเมซยิงเข้า)

บาเยิร์น มิวนิค 2 - 1 เชลซี (ลูอีซยิงเข้า)

บาเยิร์น มิวนิค 3 - 1 เชลซี (นอยเออร์ยิงเข้า)

บาเยิร์น มิวนิค 3 - 2 เชลซี (แลมพาร์ดยิงเข้า)

บาเยิร์น มิวนิค 3 - 2 เชลซี (โอลิชยิงพลาด)*

บาเยิร์น มิวนิค 3 - 3 เชลซี (โคลยิงเข้า)

บาเยิร์น มิวนิค 3 - 3 เชลซี (ชไวน์สไตเกอร์ยิงพลาด)*

บาเยิร์น มิวนิค 3 - 4 เชลซี (ดร็อกบายิงเข้า)

ผล "สิงห์บลูส์" เชลซี สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเอาชนะ "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค ในการดวลจุดโทษไป 4-3 คว้าแชมป์ไปแบบสุดอลังเลยในฤดูกาลนี้ ส่วน "บาเยิร์น มิวนิค" ก็ต้องชอกช้ำระกำใจไป เพราะฤดูกาลนี้พวกเขาเป็นทริปเบิ้ลรองแชมป์เลย
บันทึกการเข้า
  
ร่วมสนุกลุ้น ผลบอลวันนี้ กับเรา