ศึกดาร์บี้ แมตช์ที่แฟนบอลทั่วโลกเฝ้าจับตามอง เมื่อผลของอริร่วมเมืองแมนต้องตัดสินกันด้วยประตูชัยของ "แวงซอง กอมปานี" ช่วงทดเจ็บครึ่งแรกทำให้พลพรรค "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอาชนะ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หวุดหวิด 1-0 ก่อนแซงขึ้นจ่าฝูงด้วยประตูได้เสียที่ดีกว่า 8 ลูกเหลือวัดใจระทึกในโปรแกรม 2 นัดสุดท้าย
พรีเมียร์ ลีก
วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2555
สนาม เอติฮัด สเตเดี๊ยม
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1 - 0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
นี่คือแมตช์ประจำฤดูกาล 2011-12 ของพรีเมียร์ ลีก "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้เปิดรังเอติฮัด สเตเดี๊ยมต้อนรับการมาเยือนของอริร่วมเมืองแมนอย่าง "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพื่อตัดสินกันว่าใครจะเป็นแชมป์ในฤดูกาลนี้ เจ้าบ้าน "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พกสถิติการเล่นในบ้านที่สุดแกร่ง เมื่อพวกเขาชนะรวด เสมอเพียงแค่เกมเดียวและไม่แพ้เลยตลอด 16 เกมที่ลงเล่นมา ซ้ำยังเคยบุกไปเอาชนะ "ปีศาจแดง" ถึงโอลด์ แทรฟฟอร์ดแบบขี้ไหลเละเทะ 6-1 อีกด้วย
ถึงอย่างนั้นทีมเยือนก็ยังมีสถิติให้ได้ใจชื้นอยู่บ้าง เมื่อ 5 นัดหลังสุดในพรีเมียร์ ลีกพวกเขาบุกมาแพ้อริตัวฉกาจเพียงแค่เกมเดียวเท่านั้น
"เรือใบ" แม้ว่าจะมีข่าวแว่วว่าพร้อมให้โอกาส "บาโลเตลลี่" ลงเล่น หลังจากไปโดนไล่ออกในเกมกับ "ปืนใหญ่" อาร์เซนอลจนถูกแบนยาว แต่วันนี้นั่งเป็นสำรอง หลีกทางให้คู่หูสั้นแต่แสบอย่าง "อเกวโร่" และ "เตเบซ" ในแดนหน้าแทน
"ปีศาจแดง" วันนี้เลือกที่จะดร็อป "อีแวนส์" และ "ราฟาเอล" เป็นเพียงแค่ตัวสำรอง โดยให้ "สมอลลิ่ง" และ "โจนส์" ลงเล่นแทน ในขณะที่แดนหน้าฝากความหวังไว้ที่ "รูนี่ย์" ที่ยืนเป็นตัวเป้าอยู่เพียงผู้เดียว
เปิดเกมมาต่างฝ่ายก็ต่างลุยกันเลยสำหรับทั้งสองทีม เมื่อพยายามที่จะเอาบอลมาครองแล้วบุกใส่ฝ่ายตรงข้ามทันที เริ่มจาก "ปีศาจแดง" ทีได้กดดันก่อนที่เจ้าบ้าน "เรือใบ" จะได้ไปยาวๆถึงหน้าประตู แต่โอกาสจะๆยังไม่มี
นาทีที่ 16 หวิดจะเสียประตูตั้งแต่แรกไปก่อนแล้วสำหรับจ่าฝูง "แมนฯยูไนเต็ด" เมื่อโซนรับของพวกเขาเปิดช่อง โดน "นาสรี่" วิ่งเลี้ยงตี้ลากบอลผ่านทะลุเข้าไปดื้อๆ ก่อนที่จะแทงทะลุช่องให้ "เตเบซ" หลุดไปเปิดควัดผ่าน "เด เกอา" หมายให้อเกวโร่ยิงจ่อๆ แต่เป็น "โจนส์" ที่ไปยืนดักสกัดทิ้งออกมาได้ทัน
นาทีที่ 20 พาลจะเล่นยากเอาง่ายๆสำหรับ "กอมปานี" เมื่อเขาพยายามจะเข้าไปตัดจังหวะการเล่นสวนกลับของ "แมนฯยูไนเต็ด" แต่ไปเข้าบอลช้ากว่า "รูนี่ย์" ที่ปล่อยบอลออกไปได้แล้ว แม้ว่าเกมจะเล่นกันต่อ แต่สุดท้าย "มาร์ริเนอร์" ก็มาให้ใบเหลืองย้อนหลังกับกัปตันทีม "เรือใบ"
นาทีที่ 25 พลาดเต็มๆเลยสำหรับเกมรับของ "แมนฯยูไนเต็ด" เมื่อรูนี่ย์พยายามจะสกัดบอลแบบหวดเต็มแรงดักจังหวะโยนเข้าในเขตโทษของ "ซิลบา" แต่ดันหวดไม่ไปไหน เลยโดนหนุนสวนกลับเข้าไปอีกที บอลเข้าทาง "อเกวโร่" ที่ไม่ต้องพูดมาก ยิงมันจังหวะแรกเลย ติดที่โดนไม่เต็มใบ เลยพุ่งข้ามคานออกหลังไปไกลลิบ
ผ่านครึ่งชั่วโมงเกมนี้ตรงกลางสัปดาห์มันแน่นสุดๆไปเลย มีหลายครั้งที่นักเตะ "ปีศาจแดง" แมนฯยูไนเต็ดต้องพยายามเลี่ยงโยนบอลยาวไปข้างหน้า ทำให้ไม่แม่นและเสียบอลกลับไปง่าย ส่วน "ซิตี้" ใช้ความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะผสานกับการต่อบอลที่รวดเร็ว ทำให้กดดันแนวรับของแมนฯยูไนเต็ดได้อยู่หลายช่วง
นาทีที่ 36 แนวรับทางซ้าย "แมนฯยู" มีปัญหาน่าดู เพราะโดนเจาะครั้งแล้วครั้งเล่า คราวนี้โดน" ซิตี้" เล่นชิ่งกันจน "นาสรี่" หลุดเข้าไปเปิดให้ "อเกวโร่" กระดกบอลขึ้นก่ะวอลเล่ย์เต็มๆ แต่มีเฟอร์ดินานด์เข้าไปแหย่เท้าสกัด เลยต้องอัดเบี่ยง บอลหลุดกรอบออกไป
เข้าสู่ช่วง 5 นาทีสุดท้าย เกมมีการเปิดแลกกันขึ้นมาหน่อย หลังจาก "แมนฯยู" โดนกดอยู่นาน ก็มีสวนมีโต้ขึ้นไปบ้าง แต่พวกเขาก็เกือบโดนจากจังหวะที่ "เตเบซ" พาบอลควบหนีสองผู้เล่นทีมเยือน ก่อนที่จะจ่ายต่อจนบอลไปถึง "อเกวโร่" ทางซ้าย ติดตรงตัวบล็อกเพียบ เลยยิงแฉลบออกหลังไป
ช่วงเวลานาทีแรก "เรือใบ" มาได้ประตูสุดสำคัญขึ้นนำไปแบบเฮกันลั่นสนาม หลังจากเล่นคอนเนอร์อยู่หลายต่อหลายครั้งก็มาสำเร็จ เมื่อ "ซิลบา" บรรจงโยนบอลโค้งเข้าไปในเขตโทษ "สมอลลิ่ง" พลาดหลุดจากการประกบตัวของ "กอมปานี" เลยทำให้กัปตันทีม "เรือใบ" สบช่องโถมตัวขึ้นโขกตรงจุดนัดพบพอดิบพอดี แสกหน้า "เด เกอา" เข้าไป "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ขึนนำก่อน 1-0
ก่อนที่จะจบ 45 นาทีแรก ลุ้นกันต่อไปในครึ่งหลัง แต่ดูจากรูปเกมในครึ่งแรกแล้ว บอกได้เลยว่า "เีรือใบ" สมควรเป็นผู้นำไปก่อนโดยแท้
นาทีที่ 53 เก็บอารมณ์ไม่อยู่ไปหน่อยสำหรับ "ยาย่า" ในจังหวะที่เขาพยายามจะชิงเบียด "กิ๊กส์" ที่พยายามแตะบอลหนี แล้วเหมือนเจตนากันโดยตรง ทำให้ "มาร์ริเนอร์" เป่าฟาวล์ เจ้าตัวไม่พอใจเลยทุ่มบอลลงซะเต็มแรง ทำให้โดนใบเหลืองไปตามระเบียบ
อีก 5 นาทีต่อมา จำเป็นแล้วสำหรับ "ผีแดง" เมื่อเห็นว่าแผนกองกลางแน่น มันไม่แน่นอย่างที่คิด ซ้ำปาร์คยังเล่นไม่ออก ทำให้ตัดสินใจส่ง "เวลเบ็ค" ลงไปเล่นแทนมิดฟิลด์เลือดโสม แน่นอนว่าเกมจะต้องเปิดขึ้น
หลังจากทำท่าจะดีขึ้นในต้นๆครึ่งหลัง แล้วก็โดน "แมนฯซิตี้" กดดันอีก แต่พอเพิ่มกองหน้าลงไปอีกตัว ตอนนี้ "แมนฯยูไนเต็ด" เองก็พยายามเดินเครื่องเข้าใส่แบบเต็มที่ ถึงอย่างนั้นก็ดูกองหลัง "เรือใบ" ไม่ค่อยระแคะระคายผิวเท่าไหร่
นาทีที่ 68 เขี้ยวน่าดูสำหรับ "เรือใบสีฟ้า่" เมื่อพวกเขาจัดการส่ง "เดอ ยอง" ที่ช่ำชองในการเล่นเกมรับลงไปเสริมมิดฟิลด์ แล้วถอด "เตเบซ" ที่ดูแล้วเหมือนจะหายๆหมดๆไปเหมือนกันออกไป
เข้าสู่ช่วง 15 นาทีสุดท้าย ทั้งจังหวะการจ่ายบอลและการเล่นประสานกัน ดูแล้วทาง "แมนฯซิตี้" ยังคงทำได้ดีกว่า "แมนฯยู" อย่างต่อเนื่อง ดีไม่ดีจะยิงเพิ่มได้อีก เพราะแต่ละตัวจัดจ้านเหลือเกิน
นาทีที่ 77 เกือบมีเรื่องมีราวกันที่ข้างสนามแล้ว เมื่อ "เซอร์ อเล็กซ์" ไม่พอใจที่ "เวลเบ็ค" โดน "เดอ ยอง" ทำฟาวล์เลยไปโวยผู้ตัดสิน ทำให้ "มันชินี่" ปรี่เข้าไปบอกให้เงียบปากได้แล้ว ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะตะโกนด่ากันไปมาจนต้องมีคนออกมาแยก
เข้าสู่ช่วง 10 นาทีสุดท้าย บีบหัวใจกันอย่างแรงทั้งสองทีม เพราะเวลางวดเข้ามาทุกทีและอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแม้ว่า "ซิตี้" จะนำอยู่ก็ตาม
นาทีที่ 83 มีการปรับเปลี่ยนกันทั้งสองทีม เมื่อ "แมนฯซิตี้" เปลี่ยนเอา "ริชาร์ดส์" ลงไปเสริมความแกร่งในแนวรับ ส่วน "แมนฯยูไนเต็ด" ทำตรงกันข้ามกันไป เมื่อส่ง "ยัง" ลงเล่นแทน "นานี่" ที่วันนี้แผลงฤทธิ์ไม่ออกเลย
ท้ายเกม "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้กลับมาบดอีกครั้ง "กลิชี่" วิ่งเข้าไปบวกบอลที่แฉลบออกมา แต่ติดเซฟของ "เด เกอา" ที่พุ่งปัดเอาไว้ได้ดี บวกทั้งจังหวะของ "นาสรี่" ที่ได้โอกาสยิงในเขตโทษแล้ว แต่พี่แกยึกหลายจังหวะเกินเลยอด
ถึงอย่างนั้นสุดท้ายแล้วจบ 90 นาที "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ทำสำเร็จ เอาชนะ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปด้วยสกอร์ 1-0 เพียงพอให้พวกเขาพลิกแซงขึ้นไปนำจ่าฝูงพรีเมียร์ ลีกด้วยประตูได้เสียที่มากกว่า ในขณะที่เหลือการแข่งขันอีกแค่ 2 เกมเท่านั้น