เกมดาร์บี้ แมตช์ แห่งเมืองลอนดอน ณ สนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์ จบลงด้วยผลเสมอ 0-0 เมื่อทั้ง "สิงห์ไฮโซ" เชลซี ยันเสมอ "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮอต สเปอร์ส ที่มีโอกาสมากกว่าแต่ส่งบอลเข้าตุงข่ายไม่ได้ สุดท้ายเลยจำต้องแบ่งแต้มกันไป
พรีเมียร์ ลีก
วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม 2555
สนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์
เชลซี 0 - 0 ท็อตแน่ม ฮอต สเปอร์ส
ศึกแย่งพื้นที่แชมป์เปี้ยนส์ ลีกกำลังจะบังเกิดขึ้นในสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อ "สิงห์โตน้ำเงินคราม" เชลซี เปิดบ้านหมายไล่บีบคะแนนที่ตามหลัง "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮอต สเปอร์ส อันดับที่ 4 ให้เหลือแค่ 2 คะแนนเท่านั้น เปิดฉากมาในช่วง 15 นาทีแรก ถือว่าสูสีดู๋ดี๋กันอยู่พอสมควรสำหรับทั้งสองทีม ที่วันนี้ค่อนข้างจะเกร็งอยู่หน่อยๆ เพราะคะแนนในเกมนี้สำคัญและอาจจะพลิกหรือกดสถานการณ์ของฝ่ายหนึ่งลงไปได้เลย
ตอนนี้เล่นไปเล่นมาก็เป็นเชลซีที่เซ็ตเกมเป็นรูปเป็นร่างกันมากกว่า เพียงแต่พื้นที่สุดท้ายของพวกเขายังไม่แม่นเท่าไหร่ พาบอลขึ้นไปก็มักจะไปเสียกันอยู่แถวๆกรอบเขตโทษ ไม่ค่อยได้โอกาสจบมากนัก
เกมผ่านไปเรื่อยๆโดยมีเชลซีที่ขี่อยู่นิดหน่อย แต่ที่เห็นชัดเลยคือโอกาสยิงของทั้งสองทีมที่แทบไม่มีให้ได้ลุ้นเสียวกันเลย ไอ้ที่ยิงๆไปถ้าไม่ติดบล็อกก็หลุดกรอบไปไกลหมด โอกาสลุ้นน้อยจริงๆ
นาทีที่ 31เสียงฮือฮาดังออกมาทั่วทั้งสนาม เมื่อเชลซีหวังจะได้จุดโทษ จากจังหวะที่แลมพาร์ดวิ่งทะลุหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนที่จะโดนกัลลาสเบียดเข้ามาแซ่ะ ขาพันกันแล้วกลิ้งลงไปกับพื้น แต่ผู้ตัดสินกางมือบอกว่าไม่ใช่จุดโทษชัดเจน
ตอนนี้เกมของสเปอร์สยังที่เล่แบบป๊อกแป๊กกันในตอนแรกก็เริ่มดูดีขึ้นมาบ้างในจังหวะทำเกมบุก แต่พวกเขาคงต้องเน้นมากกว่านี้หน่อยหากหวังคว้าชัยออกจากเดอะ บริดจ์ออกไปให้ได้
ช่วงทดเวลานาทีที่ 2 เหลือเชื่อจริงๆสำหรับฟาน เดอร์ ฟาร์ตในจังหวะที่สเปอร์สได้บุกกดดันเชลซี ก่อนที่บอลจะแฉลบหลุดถึงเขาซึ่งยืนจังก้ารอหน้าประตูได้ซัดโล่งๆคนเดียว แต่ดันหวดเต็มเหนี่ยวไปตรงตัวของเช็กที่ปัดบอลเอาไว้ แม้จะตามซ้ำดาบสองแต่ก็โดนบล็อกกองหลังที่ช่วยกันเอาไว้ได้อีก น่าเสียดายมากมายจริงๆ
มาต่อกันในช่วงของครึ่งหลัง นาทีที่ 57 เหมือนจะเน้นเกินจนวางเท้าห่างไปนิดสำหรับวอล์คเกอร์ เมื่อเบลกระชากพาบอลเจาะเข้าไปตรงกลาง ก่อนที่จะตบออกข้างให้วอล์คเกอร์ซึ่งเติมขึ้นมาได้ซัดเน้นๆ แต่บอลมันพุ่งหลุดกรอบกระทบข้างตาข่ายไปซะงั้น
นาทีที่ 63 ดูแล้วมันทำให้อดยิ้มนึกขำไม่ได้เลยจริงๆสำหรับท่าทางของรามิเรส เมื่อเขาวิ่งเบียดไปกับเอก็อตโต้ก่อนที่จะล้มลงในกรอบเขตโทษ พอลุกหันมาไม่เห็นเสียงนกหวีดจากกรรมการ พี่แกเลยเอามือกุมหน้าก่อนจะพลิกตีลังกากลับหลังไปหนึ่งรอบเพื่อให้รู้ว่า "กูผิดหวังมว๊าก"
ครึ่งหลังเล่นกันมาได้พักใหญ่แล้ว แต่ต้องบอกเลยว่าโอกาสมันไม่ได้ต่างจากครึ่งแรกสักเท่าไหร่ จะสลับกันนิดหน่อยก็ตรงที่สเปอร์สมีโอกาสได้ครองบอลบุกมากกว่า
มีการสลับกันให้ขำนิดหน่อย เมื่อฟานเ ดอร์ ฟาร์ตพยายามเข้าแย่งบอลจากผู้เล่นเชลซีเพื่อสวนกลับ แต่ผู้ตัดสินมองว่าเขาทำฟาวล์ เจ้าตัวที่นอนอยู่กับพื้นเลยเยียดขา ตีแขนดิ้นๆเหมือนเด็กๆเวลาที่แม่ไม่ซื้อของเล่นให้ ฮา
นาทีที่ 73 น่าจะเป็นประตูขึ้นนำของเชลซีอย่างถ่องแท้เลย เมื่อพวกเขาได้ลูกฟรีคิกนอกกรอบ ก่อนที่มาต้าจะรับหน้าที่ปั่นบอลพุ่งไซด์ แล้วมันลงจุดที่ฟรีเดลกับวอล์คเกอร์อยู่กึ่งกลางพอดี เลยกั๊กกันไม่ยอมเข้าหาบอลทั้งคู่ แต่บอลก็พุ่งไปชนเสาจังๆ แม้ว่าลูอีซจะพยายามเข้าซ้ำ จังหวะมันก็ไม่พอดีซะอีก
อีก 3 นาทีต่อมา ปรับเป็นหน้าคู่แล้วสำหรับเชลซี เมื่อส่งตอร์เรสลงไปเล่นร่วมกับดร็อกบาและถอดเอาเอสเซียงออก ส่วนสเปอร์สเองก็ไม่มียอมจัดซาฮาลงเล่นและถอดเอาฟาร์ตที่เหมือนจะหมดๆออกไปพัก
นาทีที่ 79 หล่อโฮกๆเลยจริงเชียวในจังหวะนี้ของเคฮิลล์ เมื่ออเดบายอร์วิ่งหลุดกับดักล้ำหน้า แตะบอลหนีเช็กไปได้แล้ว แต่จังหวะตวัดยิงของเขาไปติดบล็อกเคฮิลล์ที่วิ่งมาสไลด์กันทางเอาไว้ได้แบบเฉียดฉิว
โอกาสติดๆกันของสเปอร์สที่น่าเป็นประตูยิ่งนัก เมื่อพวกเขาได้เตะมุม ก่อนที่เบลจะเป็นคนเทคตัวโขกหน้าประตูเหน่งๆ แต่กลายเป็นบอลพุ่งสูงไปหน่อยอัดคานเข้าอย่างจัง พอจะช่วยกันซ้ำบอลก็หลุดข้ามคานออกไป
ช่วงท้ายเกมก็ผลัดกันบุกไปมา โดยสเปอร์สมีโอกาสได้ลุ้น เพราะจังหวะเข้าทำจะแจ้งกว่า รวมทั้งลูกฟรีคิกของเบลที่โดนเช็กปัดป้องเอาไว้ได้อีก แต่สุดท้ายไม่มีการทำประตูกันเพิ่ม จบ 90 นาทีทั้งสองทีมเสมอกันไปที่สกอร์ 0-0
ซึ่งนี่ทำให้สเปอร์สมีคะแนนเพิ่มเป็น 55 คะแนนเท่ากับอาร์เซนอลในอันดับที่ 3 แต่ประตูได้เสียด้อยกว่า
ส่วนเชลซีมีเพิ่มเป็น 50 คะแนน แต่ก็ไม่ได้บีบช่องว่างระหว่างพวกเขากับ "ไก่เดือยทอง" ให้น้อยลง ซ้ำยังมีโอกาสโดนนิวคาสเซิ่ลเขี่ยหลุดที่ 5 ด้วย