"ออสการ์" ในเกมนี้รับบทเป็นพระเอกไปเลยทีเดียวเมื่อถูกเปลี่ยนตัวลงมาเล่นได้ไม่ถึงนาทีก็ซัดประตูตัดสินเกมให้ "สิงห์โตน้ำเงินคราม" เชลซี บุกมาหักด่าน "สปาร์ต้า ปราก" 1-0 ชิงความได้เปรียบเรื่องผลการแข่งขันรวมถึงลูกอเวย์โกลกลับไปรอเล่นนัดสองที่บ้านตัวเองในศึกยูโรป้า ลีก รอบ 32 ทีมสุดท้าย
ฟุตบอลยูโรป้า ลีก รอบ 32 ทีมสุดท้าย เลกแรก
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556
สปาร์ต้า ปราก 0 - 1 เชลซี ออกสตาร์เกมมาในช่วงครึ่งแรกเล่นกันมาได้ 7 นาที "สิงห์บลูส์" สบโอกาสทักทายก่อนเมื่อมารินกระชากบอลสวนกลับขึ้นมาทางด้านซ้ายแล้วผ่านย้อนมาให้อาซาร์ปีกเบลเยี่ยมวิ่งเข้าตะบันหลุดกรอบประตูไปอย่างน่าเสียดาย
แต่สปาร์ต้าก็มาบุกคืนในนาที 15 จากจังหวะที่ซาโปต็อคนี่เปิดบอลจากแนวลึกด้านขวาเข้ามาให้ลาฟาต้าพยายามวอลเล่ย์แต่ช้อนใต้บอลมากไปเลยเหินข้ามคานจนสร้างความผิดหวังให้แฟนบอล
ถึงนาที 26 สปาร์ต้าได้โอกาสจบสกอร์อีกครั้งจากมาเตยอฟสกี้อดีตผู้เล่นของเรดดิ้งได้ลองส่องไกลจากหน้ากรอบเขตโทษทว่ายังไม่ดีพอเมื่อบอลเหินข้ามคานอกไปไกล
อีกสี่นาทีถัดมาลาฟาต้าสมควรเบิกลูกแรกมากำนัลแฟนบอลเจ้าบ้านเมื่อบอลแฉลบลอยมาเข้าทางเขาจนได้ง้างเท้ายงแต่เป็นเพราะเช็กเข้ามากดดันเร็วเลยยิงไม่ตรงเป้า
เชลซีพยายามหาช่องทำประตูขึ้นนำจนนาที 35 ก็ได้โต้กลับเร็วโดยที่มาต้าไหลบอลมาให้ตอร์เรสได้ซัลโวไปตรงตัวผู้รักษาประตูของสปาร์ต้า ทำให้เกมครึ่งแรกหยุดลงไว้ที่สกอร์ 0-0
ลงสนามมาเล่นกันต่อในช่วงครึ่งหลังทั้งสองฝ่ายยังหาโอกาสส่องสกอร์จังๆไม่ค่อยได้โดยนาที 51 ไฮบ์สได้ตะบันจากระยะ 25 หลาไปเข้ามือของเช็ก ขณะที่ลูกส่องไกลของแลมพาร์ดในนาที 58 ก็ได้ผลลัพท์น่าผิดหวัง
หลังจากนั้นนาที 70 มาต้าได้วางบอลเข้ามาให้แลมพาร์ดขึ้นโหม่งแต่วิถีทางไม่ดีพอเมื่อบอลลอยไปตรงตัวของวาชลิครับไว้ไม่มีพลาด ทำให้สกอร์ยังเสมอกันไม่มีอะไรเปลี่ยน
อีก 9 นาทีถัดมาสปาร์ต้าไม่ยอมอยู่เฉยบุกขึ้นมาแล้วได้จบสกอร์บ้างในจังหวะที่เคเวเก้ได้เข้ายิงลูกเปิดจากทางด้านขวาแต่ก็ไม่ได้สร้างความลำบากให้กับเช็กเพราะบอลไม่ตรงกรอบประตูอีก
ที่สุดแล้วนาที 82 ออสการ์ซึ่งเพิ่งถูกเปลี่ยนตัวลงมาก็ทำชิ่งกับอาซาร์จนหลุดเข้าไปแปบอลสวนตัววาชลิคเสียบเสาอย่างเฉียบขาดให้"สิงห์บลูส์"ขึ้นนำ 1-0
หลังจากนั้นสองนาทีเชลซีมีโอกาสบวกสกอร์เพิ่มจากลูกยิงของตอร์เรสแต่ก็ไม่ดีพอที่จะผ่านมาวาชลิคซึ่ปัดบอลข้ามคานออกไปได้ จบเกม"สิงห์บลูส์"บุกมาชนะสปาร์ต้า ปราก 1-0 กุมความได้เปรียบเรื่องอเวย์โกลกลับไปโซ้ยต่อที่บ้านตัวเองในเลกสองของศึกยูโรป้า ลีกรอบ 32 ทีมสุดท้าย