ในที่สุดก็เจอจนได้สำหรับคู่มือการใช้งานที่ "ราฟา" พกมาด้วย เมื่อ "ตอร์เรส" ไม่ใช่ "ตอไม้" อีกต่อไปโชว์ฟอร์มสุดติ่งซัดคนเดียว 2 ประตูช่วยให้ "สิงห์ไฮโซ" บุกพิชิตชัยเหนือ "แมวดำ" ซันเดอร์แลนด์ 3-1 ลง 2 เกมหลังซัดไปถึง 4 "เชลซี" หยุดสถิติไร้ชัยไว้ที่ 7 เกมขยับมี 29 คะแนน
พรีเมียร์ ลีก
วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม 2555
ซันเดอร์แลนด์ 1 - 3 เชลซี
สนาม สเตเดี๊ยม ออฟ ไลท์ เปิดฉากเริ่มมาในช่วงครึ่งแรกเล่นกันมาได้แค่ 2 นาที "สิงห์บลูส์" เชลซีเกือบจะได้จุดโทษอยู่แล้ว จากจังหวะที่อาซาร์หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปในเขตโทษ แต่โดนรั้งเอาไว้นิดหนึงมีเสียหลัก เขายังฝืนพยายามเล่นต่อ เลยเจอมินญอเล่ต์พุ่งออกมาเสียบสกัดอย่างสวย จริงๆถ้าขาอ่อนนิดหนึงก็ให้ได้เหมือนกัน
อีก 4 นาทีต่อมา จริงๆถ้าจับบอลดีกว่านี้ก็เฮไปแล้ว สำหรับตอร์เรสที่อุตส่าห์ได้ส้มหล่นไปยืนคนเดียวเสาสองแล้วบอลหลุดมา แต่ดันจับไม่ดี จังหวะจะตามแต่งเลยโดนมินญอเล่ต์พุ่งมาสกัดได้อีก
นาทีที่ 11 ในที่สุดก็จบการการรอคอยอันยาวนานสักทีสำหรับตอร์เรส เมื่อเขามาทำประตูได้ในจังหวะที่ไปช่วยขยับบอลตรงกลาง ก่อนเติมเข้าในเขตโทษ แล้วต้องชมอาซาร์ที่ปั่นครอสจากด้านข้างมาสวยให้หอกสแปนิชแปวอลเล่ย์เข้าไปเสียบเสา มินญอเล่ต์ได้แต่หงายเงิบ เชลซีนำ 1-0 พร้อมกับประตูแรกในรอบ 8 เกมของตอร์เรสด้วย
นาทีที่ 20 เพิ่งจะได้ลงเล่นตัวจริงเป็นเกมแรกให้ทีมแท้ๆ ดันมีอาการบาดเจ็บขึ้นมาจนต้องออกจากสนามซะงั้นสำหรับโรเมอูที่เล่นต่อไม่ไหว เชลซีเลยต้องให้ออสการ์ลงไปยืนมิดฟิลด์แทน
นาทีที่ 28 ยิงได้แน่นดีก็จริง แต่ไม่มุมพอสำหรับเซสซิยอง กับจังหวะที่วิคแอมขึ้นโหม่งเช็ดให้เขาได้แตะหาช่องส่องนอกกรอบ บอลพุ่งเป็นจรวด แต่เช็กเห็นทุกอย่างบินไปทุบสองมือทิ้งออกหลังได้
เข้า 5 นาทีสุดท้าย เกมโดยรวมแม้จะโดนกดดันคืนอยู่พักหนึงจากซันเดอร์แลนด์ แต่สุดท้ายเชลซีก็คุมสถานการณ์เอาไว้ได้อยู่ ดูแล้วนักเตะค่อนข้างจะตั้งใจเล่นกันทุกคน คงอยากคงสกอร์ขึ้นนำไว้ก่อนในครึ่งแรกนี้
ก่อนจบครึ่งแรกในช่วงทดเวลา เชลซีมาได้จุดโทษจากจังหวะที่รามิเรสกระชากบอลไปถึงสุดเส้นหลังแล้วโดนเสียบสกัด ผู้ตัดสินไม่มีลังเลเป่าเป็นจุดโทษให้ทันที ก่อนที่ตอร์เรสจะรับหน้าที่สังหารซัดบอลไปเสียบเสา ขณะที่มินญอเล่ต์พุ่งไปคนละทาง แต่เอาจริงๆ ถึงพุ่งถูกทางก็ใช่ว่าจะรับได้ เพราะคมเหลือเกินสำหรับลูกนี้ เชลซีนำห่าง 2-0 ตอร์เรสเบิ้ลเลย
จบ 45 นาทีแรก เป็นเชลซีที่พลิกฟื้นจากฟอรืมสุดเห่ยในช่วงหลัง ขึ้นนำซันเดอร์แลนด์ 2-0 สบายๆกันเลยทีเดียว
ออกสตาร์ทช่วงครึ่งหลังมาได้แค่ 4 นาที เชลซีก็นำห่างออกไปไกลถึง 3-0 เมื่อบาร์ดสลี่ย์โชว์การสกัดสุดกาก บอลเข้าทางตอร์เรสที่วิ่งมาบวกด้วยซ้าย บอลพุ่งโค้งเข้าชนสามเหลี่ยม แต่เด้งเข้าทางของมาต้าที่ตามซ้ำผ่านมินญอเล่ต์เข้าไปไม่มีเหลือ ทีมเยือนทุบเลย 3-0
ผ่าน 1 ชั่วโมงเต็ม นำอยู่ห่างขนาดนี้เรียกได้ว่าเล่นสบายกันเลยพสำหรับนักเตะของเชลซี พวกเขาไม่จำเป็นต้องรีบอะไร มีจังหวะให้ซันเดอร์แลนด์ได้ครองบอลบ้าง เพื่อที่จะหาโอกาสสวนเจาะคืนแบบจั่งหนับ ถ้า 'แมวดำ' บุกเพิลนๆ เดี๋ยวได้มีเม็ด 4 เพิ่มแน่
นาทีที่ 66 เล่นเอางงไปเหมือนกันว่าเข้าได้ไง สำหรับจังหวะของจอห์นสันที่ได้บอลทางริมเขตโทษด้านซ้าย ก่อนที่เขาจะตั้งป้อมซัดด้วยซ้าย คือเหมือนบอลมันจะพุ่งหลุดกรอบหรือยังไง ทำให้เช็กที่ยกมือขึ้นมาก่อนแล้วนั้นทำท่าว่าไม่อยู่ในระยะเลยไม่ได้ปัด แต่บอลกลับไซด์ฮุคเข้าไปเสียบเสาสองหน้าตาเฉย ซันเดอร์แลนด์ตามมาเป็น 3-1 ทันเปล่าไม่รู้ แต่น่าจะมันส์ล่ะทีนี้
ตอนนี้เหมือนแมวคลั่งเลยสำหรับซันเดอร์แลนด์ เพราะพวกเขาเดินหน้าเปิดเกมใส่เชลซีแบบไม่มียั้ง กดดันได้ดีเสียด้วย แต่กองหลังของทีมเยือนก็ยังช่วยกันได้ดี โดยเฉพาะลูอีซที่โหม่งสกัดบอลในจังหวะชี้ขาดได้
นาทีที่ 76 เป็นจังหวะหวาดเสียวอย่างยิ่ง เมื่อซันเดอร์แลนด์ได้ฟรีคิก มุมน่ารักน่าลุ้นแม้จะไกลไปนิด แต่จอหืนสันก็ทำได้เยี่ยมเมื่อสืบเท้าเข้าปั่นแบบเน้นๆส่งข้ามหัวกำแพงไปหมายจะเสียบเสาซะให้เข็ด แต่เช็กพุ่งไปปัดเอาไว้ได้ทัน เฉียดฉิวๆ
นาทีที่ 79 ในที่สุดก็คืนสนามกลับมาอีกครั้งสำหรับแลมพาร์ดที่ก่อนหน้านี้มีปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บ แต่เขาก็ถูกเปลี่ยนลงไปเคาะสนิมในช่วงเวลาที่เหลืออยู่นี้
แม้ว่าจะเหลือเวลาอีกเพียงแค่ 5 นาที แต่ซันเดอร์แลนด์ก็ยังคงเล่นแบบลุ้นเพื่อที่จะเอาประตูกลับมาให้ได้อีกลูก ส่วนว่าจะตีเสมอได้เลยไหมอันนี้ต้องตามดูกันอีกที
ช่วงท้ายเกมเช็กมีจังหวะเซฟลูกยิงฟรีคิกของซันเดอร์แลนด์แบบสวยๆอีกเม็ด ก่อนจะจบ 90 นาทีเป็นเชลซีที่ตื่นจากฝันร้ายเก็บ 3 คะแนนแรกได้สักทีจากชัยชนะเหนือซันเดอร์แลนด์ 3-1
ตอนนี้พวกเขามีเพิ่มเป็น 29 คะแนนแม้จะตามแมนฯซิตี้ในอันดับ 2 อยู่ 4 แต้มและเตะมากกว่าหนึ่งเกม แต่ก็ถือว่าเป็นสัญญาที่ดีในยุคของเบนิเตซที่เก้บชัยชนะนัดแรกได้สักที