"สิงห์ไฮโซ" เชลซี เกือบพลาดคว้า 3 แต้มในบ้านทั้งที่มีตัวผู้เล่นมากกว่า "สโต๊ค ซิตี้" อยู่ชั่วโมงกว่า แต่สุดท้ายก็มาได้ความยอดเยี่ยมของ "ดร็อกบา" ที่ซัดประตูชัยช่วยให้ทีมเอาชนะไปได้ 1-0 เก็บชัยในลีกนัดแรกสำหรับ "ดิ มัตเตโอ"
พรีเมียร์ ลีก
วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม 2555
นี่เป็นเกมแรกของ "สิงห์โตน้ำเงินคราม" เชลซี ในเวทีพรีเมียร์ ลีก หลังจากปลด "โบอาส" ออกไปและแต่งตั้ง "ดิ มัตเตโอ" ขึ้นคุมทัพชั่วคราวแทน เปิดฉากมา "สิงห์โตน้ำเงินคราม" เชลซี ก็เปิดเกมบุกใส่ทีมเยือนอย่าง "สโต๊ค" แทบจะทันที เพราะแน่นอนว่าพวกเขาต้องการ 3 คะแนนในเกมนี้เป็นอย่างมากจากช่วงเวลาสุดยากลำบากของทีม
นาทีที่ 8 ได้ลุ้นเหมือนกันสำหรับจังหวะเติมเกมขึ้นสูงของ "เคฮิลล์" ที่แตะๆลากๆไปเรื่อยจนเข้านะยะแล้วกดด้วยขวาเต็มๆ บอลพุ่งทะแยงแวหกอากาศ แต่ก็ไปติดเซฟของ "เบโกวิช" ที่ทุบออกหลังไปได้
นาทีที่ 17 อุตส่าห์ได้มีจังหวะขึ้นไปลุ้นประตูจากความผิดพลาดของ "เทอร์รี่" ที่ดันไปสะดุดขาจนล้มลง ทำให้ "วอลเตอร์ส" ได้หลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษ แต่ก็ไปยิงติดบล็อกของ "เคฮิลล์" ที่ตามมากันได้สวย แม้จะได้ซ้ำดาบสองก็หวดแป้กออกหลังไป
นาทีที่ 25 งี่เง่าโดยแท้จริงๆสำหรับ "ฟูลเลอร์" ทั้งที่มีประสบการณ์มากกว่าใครหลายคนในทีม แต่คุมอารมณ์ไม่อยู่ในจังหวะที่ "อีวาโนวิช" เข้าสกัดแล้วไปสะกิดโดนเขาจนตัวเอียง แต่จังหวะเอาเท้าลงกลับเจตนาย่ำไปที่ต้นขาของแบ็ค "สิงห์" แบบเต็มๆ ผู้ตัดสินเห็นชัดแจกใบแดงให้แบบไม่ต้องมีอุทธรณ์ งานงอกแล้วสำหรับ "สโต๊ค"
เข้าสู่ช่วงครึ่งชั่วโมงเต็ม ตอนนีและต่อไปเรื่อยๆเกมทั้งหมดน่าจะตกเป็นของ "สิงห์โตน้ำเงินคราม" เชลซี เนื่องจากมีผู้เล่นเยอะกว่าหนึ่งคน รวมทั้งการที่ได้เล่นในบ้าน ตอนนี้ทุกอย่างเข้าทาง "สิงห์ไฮโซ" หมดแล้ว
นาทีที่ 32 มีฟ้องเหมือนกันสำหรับ "เทอร์รี่" เพราะจังหวะเตะมุมเขาโดนตอด โดนดึงอยู่แทบจะตลอดเวลาจนผู้ตัดสินต้องมาเคลียร์ ก่อนที่เจ้าตัวจะเป็นคนโหม่งลุ้นประตูให้กับทีม แต่บอลดันเด้งไปชนคานซะนี่
อีก 5 นาทีต่อมา ถือว่าตัดสินใจรวดเร็วจริงๆสำหรับ "ดิ มัตเตโอ" เมื่อตัดสินใจถอด "รามิเรส" ออกแล้วส่งมาต้าซึ่งเป็นตัวรุกเต็มข้อลงสนามแทน เพื่อโอกาสในการทำประตูที่มากขึ้นกับจำนวนนักเตะที่มากกว่าในตอนนี้
นาทีที่ 40 มีคานเป็นมารผจญอีกแล้วสำหรับ "สิงห์โตน้ำเงินคราม" เชลซี เมื่อ "อีวาโนวิช" ที่เติมสูงอุตส่าห์ได้ยืนตั้งป้อมยิงแบบเน้นในกรอบเขตโทษแล้ว แต่เหมือนจะช้อนใต้ลูกไปนิด ทำให้บอลมันเหินชนคานพุ่งออกหลังไป
ช่วงเวลาที่เหลือก็ไม่มีการทำประตูเกิดขึ้น สุดท้ายเกมยังคงเสมอกันอยู่ที่ 0-0 ต้องไปลุ้นกันต่อในครึ่งหลัง
มาในช่วงครึ่งหลัง "สิงห์บลูส์" เชลซี เปลี่ยนเอา "ลูอิซ" ลงไปเล่นแทน "อีวาโนวิช" ที่ดูเหมือนว่าอาจจะมีอาการบาดเจ็บติดพันมาในจังหวะ "ฟูลเลอร์" ย่ำ
แม้ว่าตัวผู้เล่นจะมากกว่าและไปแก้เกมกันมาแล้วในช่วงพักครึ่ง แต่ตอนนี้ "เชลซี" ก็ยังไม่สามารถเจาะแนวรับของ "สโต๊ค" ที่เล่นกันได้อย่างเหนียวแน่นไปได้เลย ดูแล้วถ้ายิ่งเวลาผ่านความกดดันอาจจะเพิ่มขึ้นเองก็ได้สำหรับเจ้าบ้าน
นาทีที่ 60 กลายเป็นว่าสองจังหวะที่ใกล้เคียงที่สุดในเกมนี้ของ "สิงห์ไฮโซ" เชลซี เป็นของสองกองหลังอย่าง "เคฮิลล์" ที่ลุ้นไปในครึ่งแรกและคราวนี้ก็เป็นเทอร์รี่ที่เติมขึ้นสูงไปกดเน้นๆ บอลพุ่งโคตรแรง แต่มันดันเลี้ยวปลายพุ่งหลุดกรอบออกไป
นาทีที่ 66 นึกว่าจะใส่สกอร์ไปแล้วสำหรับ "สิงห์บลูส์" เชลซี เมื่อ "ดร็อกบา" จัดการปั่นฟรีคิกบอลพุ่งโค้งโคตรสวย แต่เป็น "เบโกวิช" ที่พุ่งสุดตัวบินไปปัดทิ้งออกหลังได้อย่างเหลือเชื่อ น่าเสียดายแทนเจ้าบ้านจริงๆ
อีก 2 นาทีต่อมา ในที่สุดก็ทำได้เสียทีสำหรับ "ดร็อกบา" เมื่อ "มาต้า" โชว์จังหวะยอดเยี่ยมม้วนหนีกองหลังหน้าประตู ก่อนที่จะจิ้มต่อไปให้กับ "ดร็อกบา" พลิกตัวในกรอบเขตโทษ แตะหนี "เบโกวิช" อีกรอบแล้วแปบอลเข้าไปตุงตาข่าย ลีลาเด็ดขาดจริงๆ "เชลซี" ขึ้นนำไปแล้ว 1-0
ทุกอย่างมันบีบบังคับทีมเยือนทั้งหมดเลยจริงๆ เพราะนอกจากผู้เล่นน้อยกว่าแล้วยังมามีสกอร์ตามหลัง ทำให้พวกเขาต้องขยับทำเกมรุกบ้าง หากหวังที่จะคว้าแต้มออกไปในวันนี้
เข้าสู่ช่วง 10 นาทีสุดท้าย ตอนนี้ "สโต๊ค" ฮึดกลับขึ้นมาสู่กันอย่างเต็มที่อีกครั้งและได้ลุ้นจากลูกฟรีคิกเรื่อยๆด้วย ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะสามารถทำได้หรือไม่กับเวลาที่เหลืออยู่นี้
นาทีที่ 87 น่าจะทิ้งห่างไปแล้วสำหรับ "สิงห์โตน้ำเงินคราม" เชลซี แต่เหมือนวันนี้จะติดๆขัดๆน่าดู รวมทั้งจังหวะที่มาต้าปั่นฟรีคิกสุดสวย บอลพุ่งโค้งได้ที่ แต่ดันไปชนเสาเด้งออกมาซะได้ หลายช๊อตเลยวันนี้
จบ 90 นาทีเป็น "เชลซี" ที่แม้จะหืดจับไปหน่อย แต่ก็สามารถคว้าสามคะแนนด้วยชัยชนะเหนือ "สโต๊ค" ไป 1-0 ถือว่าทำได้โอเคเลยสำหรับ "ดิ มัตเตโอ"