ทีม “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปไม่รอดตกรอบคาร์ลิ่ง คัพ เมื่อโดน “อินทรีผงาด” คริสตัล พาเลซ บุกมาเอาชนะได้ 2-1 แบบสุดมันชนิดต้องเล่นกันเต็มเวลา 120 นาที
“ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงสนามเป็นคู่สุดท้ายของศึกคาร์ลิ่ง คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยรับมือ “อินทรีผงาด” คริสตัล พาเลซ ทีมจากเดอะ แชมเปี้ยนชิพ โดย เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน สั่งเปลี่ยนทีมรวดเดียว 10 ตำแหน่งเน้นให้โอกาสตัวสำรองและดาวรุ่งลงสนามเต็มที่
แต่เกมนี้ คริสตัล พาเลซ สามารถปักหลักต้านทานได้ดีอย่างน่าชื่นชม โดยมีโอกาสได้ลุ้นก่อนด้วยจากปีกดาวรุ่งตัวเด่น วิลเฟร็ด ซาฮา ที่ได้จังหวะลากขึ้นมายิงหน้าเขตโทษ แต่บอลห่างจากคำว่าได้ลุ้นไปเยอะ
แมนฯ ยูไนเต็ด มีจังหวะในช่วงหลังจากนั้นแต่ก็ไม่ชัดเจนนัก โดย ราฟาเอล ได้เติมมาวอลเล่ย์ไกลด้วยซ้ายบอลเบา และหลุดกรอบไปเยอะ ต่อด้วย ดาร์รอน กิ๊บสัน ที่ได้บอลระยะ 25 หลา มีจังหวะแต่งเข้าขวาเนียนๆแต่ก็ปั่นบอลไปแฉลบออกไปอีก
นาทีที่ 19 เจ้าบ้านเซ็ตบอลสวยทีเดียว โดย อันโตนิโอ วาเลนเซีย พาบอลมาถึงหน้าเขตโทษก่อนชิพเบาๆให้ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ได้โอกาสยิงแต่ก็หลุดเป้าหมายไปอย่างน่าเสียดาย แต่ทีมเยือนก็โต้ตอบได้สวยโดย ซาฮา พักบอลได้ในเขตโทษก่อนพลิกหาจังหวะยิงข้ามคานออกไป
จากนั้นเกมดำเนินไปอย่างจืดชืด แทบไม่มีคำว่าไดุ้ล้นที่ชัดเจนให้เห็นกันเลย โดยจะมีก็เพียงก่อนหมดครึ่งแรก 2 นาที วาเลนเซีย พาบอลไปทางขวาก่อนเปิดเข้ามาเสาไกล บอลมาถึง มาเม่ ดิยุฟ กระโดดตีลังกายิงแต่ก็ข้ามคานไปเยอะ ก่อนที่เกมจะจบครึ่งแรกด้วยการเสมอกันอยู่ 0-0
ครึ่งหลัง เฟอร์กี้ ถอด เบอร์บาตอฟ ที่เล่นเหมือนไร้ใจออกและให้ เรเวล มอร์ริสัน เจ้าหนูดาวรุ่งที่เป็นข่าวฮือฮาได้โอกาสลงสนาม และเกมของแมนฯ ยูไนเต็ด ก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ และมีโอกาสใกล้เคียงจะได้ประตูนำเมื่อ แอนโธนี่ การ์ดเนอร์ พยายามล็อกหลบ วาเลนเซีย หน้าเขตโทษตัวเองแต่พลาดโดนฉกไปได้ แต่ วาเลนเซีย ที่หลุดเดี่ยวไปยิงเน้นๆบอลเฉี่ยวเสาออกไปแค่ไม่กี่มิลลิเมตร
ถัดมาเจ้าหนู มอร์ริสัน ได้ลองพลิกบอลแล้วยิงไกลระยะ 20 หลา แต่โดนเซฟได้ ก่อนที่จะโหมบุกหนักและยังมีลุ้นต่อเนื่องอีกหลายครั้งเรียกเสียงเชียร์จากแฟนๆได้กระหึ่ม
แต่มาถึงนาทีที่ 65 คริสตัล พาเลซ กลับเป็นฝ่ายได้ประตูออกนำไปแบบไม่มีใครคาดคิด จากประตูมหัศจรรย์ของ ดาร์เรน อัมโบรส อดีตปีกนิวคาสเซิล ที่ลงมาเป็นตัวสำรองในครึ่งหลัง ได้บอลระยะกว่า 45 หลา ก่อนซัดไกลเข้าสามเหลี่ยมไปแบบสมบูรณ์แบบ เป็นประตูนำสุดเซอร์ไพรซ์ 1-0
นาทีถัดมาเจ้าบ้านเกือบตีคืนทันทีเมื่อ พอล พ็อกบา กองกลางดาวรุ่งที่ถูกส่งลงสนามมาอีกคนได้ยิงไกล 25 หลาบอลพุ่งถากเสาออกไป แต่จากนั้นนาทีที่ 69 แมนฯ ยูไนเต็ด ก็มาตีเสมอได้สำเร็จจากจังหวะในเขตโทษ มาเคด้า พลิกบอลก่อนโดนดึงเสื้อล้มลงไป และ “กิโก้” ก็สังหารเข้าไปไม่พลาด สกอร์กลับมาเสมอกัน 1-1
แต่่แทนที่ตีเสมอได้แล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด จะบดต่อกลับช็อตไปดื้อๆ กลายเป็น พาเลซ ที่ครองสถานการณ์ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ และสร้างความปั่นป่วนได้ดีขึ้นตามลำดับโดยเฉพาะ ซาฮา และ อัมโบรส ที่ช่วยเกมรุกได้มาก และเกือบได้เฮก่อนหมดเวลาด้วยจากการยิงหน้าเขตโทษของ เกล็น เมอร์เรย์ แต่ว่าเข้าหน้าต่าง สุดท้ายเกมจบลงด้วยการเสมอกันต้องต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที
แมนฯ ยูไนเต็ด พยายามกลับมาเดินเครื่องอีกครั้ง และได้ลุ้นจากการลากตัดจากขวาเข้ามายิงของ พาร์ค ซึ่งโดนโยกไปเป็นแบ็กขวาจำเป็น แต่บอลไม่เข้ากรอบ และอีกครั้งเป็น ดาร์รอน กิ๊บสัน ที่อัดเต็มๆเท้าซ้ายระยะ 20 หลาบอลพุ่งเฉี่ยวเสาออกไป
ทว่าถึงนาทีที่ 8 ของการต่อเวลา พาเลซ กลับมายิงนำอีก 2-1 ได้อีกจากลูกตั้งเตะ อัมโบรส เปิดหนักไปกลางประตูและเป็น เมอร์เรย์ ที่โหม่งเต็มศรีษะเข้าประตูไปอย่างสวยงาม
เจ้าบ้านพยายามต่อไป และมีจังหวะเสียวถึง 2 ครั้งโดย กิ๊บสัน ได้ยิงไกลหน้าเขตโทษถากเสาออกไป ก่อนที่ มาเคด้า จะได้โอกาสหาจังหวะยิงในเขตโทษได้แล้ว โดยพยายามดีดบอลแต่ลูกไม่ติดไซด์ ทำให้พลาดไปอย่างน่าเสียดาย
แต่ พาเลซ ก็ยังน่ากลัวโดยเฉพาะ อัมโบรส ที่เป็นเกือกมหาประลัยตัวจริง มีจังหวะได้ส่องฟรีคิกระยะ 30 หลาบอลพุ่งเป็นจรวดเตรียมเสียบเสาแต่ เบน อามอส บินไปเซฟช่วยชีวิตทีมได้ทันพอดี ก่อนเกมจะจบครึ่งแรกของการต่อเวลาด้วยสกอร์นำของทีมเยือน
ช่วงการต่อเวลาครึ่งหลังอีก 15 นาทีที่เหลือ แมนฯ ยูไนเต็ด ปูพรมถล่มอย่างหนักแต่ทางด้าน พาเลซ ก็สู้ขาดใจต้านทานเอาไว้ได้จนหมดเวลา สร้างปาฏิหารย์บุกมาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ 2-1 ได้ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศเป็นทีมสุดท้าย