พิมพ์

[Newsman]

       ทำเอาแฟนบอลสิงห์บลูหลายคนนึกเสียดายอยู่ในใจเหมือนกัน ในส่วนของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด มิดฟิลด์ระดับตำนานของสโมสรที่ย้ายออกจากทีมแบบไร้ค่าตัวเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา และไปโชว์ฟอร์มอันยอดเยี่ยมกับแมนฯซิตี้ คู่แข่งแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกของสิงห์บลูในฐานะนักตัวยืม (ต้นสังกัดใหม่จริงๆคือนิวยอร์ก ซิตี้) แต่ทว่าสำหรับมุมมองของโจเซ่ มูริญโญ่ นายใหญ่ของทัพสิงห์บลูแล้วต้องบอกว่าระหว่างเชลซี และแฟร้งค์ แลมพาร์ดเวลานี้ไม่มีอะไรที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างต้องนึกเสียดายกันแล้ว

       กล่าวคือหากจะกล่าวในลักษณะของความสัมพันธ์ก็ต้องบอกว่าแยกทางกันแบบจบสิ้นไร้สิ่งใดๆติดค้างในใจกันแล้ว โดยมูริญโญ่กล่าวถึงเรื่องนี้ผ่านสื่อว่าแลมพาร์ด กับเชลซีต่างก็ต้องเดินไปข้างหน้า การที่เขาหมดสัญญากับเรา และเลือกเซ็นต์สัญญากับนิวยอร์ก ซิตี้ พร้อมกับไปให้ซิตี้แบบยืมตัวมันก็เป็นค้าแข้งในปัจจุบันของเขาเอง เช่นกันสโมสรเชลซีที่ทำแบบนี้ก็เป็นผลดีกับนักเตะรุ่นน้องในตำแหน่งกองกลาง โดยเฉพาะกับนักเตะใหม่ที่ก้าวเข้าทีมมาอย่างเชส ฟาเบรกาส หากมีแลมพาร์ดอยู่ เชส มาติซ โบก้า อาจจะไม่ก้าวขึ้นมาในระดับที่ดีอย่างที่ควรจะเป็น ส่วนประเด็นเปรียบเทียบว่าแล้วทำไมนักเตะอย่างดร็อกบาสามารถหวนคืนทีมอีกครั้งในวัยที่เริ่มโรยราแล้ว เช่นกันกับจอห์น เทอร์รี่ที่สามารถต่อสัญญากับทีมออกไปอีกได้ ทั้งๆที่ก็อยู่ในวัยเดียวกันกับแลมพาร์ด

       มูริญโญ่ชี้แจงว่า สถานะของทั้งสองรายนั้นแตกต่างจากแลมพาร์ด กล่าวคือหากแลมพาร์ดอยู่ต่อจะเป็นอุปสรรคต่อากรพัฒนาของนักเตะรุ่นน้องในตำแหน่งเดียวกันตามที่กล่าว แต่ในรายของเทอร์รี่นั้น เขายังต้องอยู่เป็นแกนหลังในแผงหลังให้กับทีม (ว่าง่ายๆคือยังไม่มีตัวแทนที่เหมาะสมนั่นเอง) ด้านดิดิเย่ร์ ดร็อกบาการมาของเขาตอนนี้มันเหมือนเป็นการช่วยสนับสนุนขุมกำลังในแดนหน้าของทีม ทำให้ทีมมีขุมกำลังในแดนหน้าที่ลงตัวมากขึ้น และอุ่นใจมากขึ้น ไม่ได้เพื่อขวางทางการเล่นของนักเตะอย่างดีเอโก้ คอสต้า หรือกระทั่งโรอิก เรมี่ก็ตาม