ฮาเวียร์ “ชิชาริโต้” เอร์นานเดซ รับบทซูเปอร์ซับลงมาโขกพังประตูตีเสมอช่วยให้ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รอดตัวจากการแพ้นัดแรกในฤดูกาลต่อ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่ได้ประตูนำจากฟรีคิกของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด หวุดหวิด
ศึกวันแดงเดือดปีนี้มากันค่อนข้างเร็ว โดย “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ได้เป็นเจ้าบ้านก่อนหลังจากที่เพิ่งจะเป็นเจ้าบ้านมาในเดือน มี.ค. โดยเกมนี้ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีมกลับมาลงเป็นตัวจริงนัดแรก และมี หลุยส์ ซัวเรซ ประสานงานกับ เดิร์ค เคาท์ ในแดนหน้า ขณะที่ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จัดทัพแบบสุดเซอร์ไพรซ์ เมื่อไม่มีชื่อตัวหลักอย่าง เวย์น รูนี่ย์, ฮาเวียร์ “ชิชาริโต้” เอร์นานเดซ, นานี่, อันแดร์สัน โดยมี แดนนี่ เวลเบ็ค ค้ำแนวรุกและมี แอชลี่ย์ ยัง, ไรอัน กิ๊กส์ และ พาร์ค ชี ซอง ลงประสานงานในแนวรุก
เกมเปิดฉากมาด้วยความตึงเครียด ต่างฝ่ายต่างพยายามที่จะเล่นอย่างละเอียดรอบคอบ ทำให้รูปเกมสูสีและแทบไม่มีจังหวะการลุ้นประตูมากนัก
โอกาสแรกของเกมมาในนาทีที่ 15 โดย แมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มต่อบอลกันได้สวยก่อนลูกจะไปถึง เอวร่า หลุดทะลุไปทางซ้ายและเปิดมาที่เสาไกล มี ฟิล โจนส์ เติมมาขึ้นโขกหลุดกรอบไป
จากนั้นนาทีที่ 20 ลิเวอร์พูล มาได้เสียวบ้างโดยมีจังหวะเล่นลูกสูตรเตะมุมสั้น เจอร์ราร์ด เปิดครอสบอลเร็วไปที่เสาแรกกะวัดใจแต่บอลผ่านหน้าปากประตูไปโดย ซัวเรซ สะกิดบอลไม่โดนซึ่งถ้าโดนนิดเดียวเป็นประตู
ถัดมา ซัวเรซ ที่เริ่มสร้างปัญหาให้แนวรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้มากขึ้นเรื่อยๆ มาได้บอลแถว 40 หลาและเห็น เด เคอา ออกมาไกลจากเส้นจึงยิงเลยแต่ไม่เข้ากรอบ
ซัวเรซ ยังคงเป็นตัวอันตรายที่สุดของเจ้าบ้าน และมาได้โอกาสดีที่สุดในครึ่งแรกในนาทีที่ 33 โดย ลิเวอร์พูล ได้โต้กลับเร็ว ชาร์ลี อดัม พาบอลควบมาก่อนตัดสินใจยิงเอง บอลติดบล็อกแต่มาเข้าทาง ซัวเรซ ได้ดึงจังหวะบอลหลอก อีแวนส์ จนเสียจังหวะแต่พอจังหวะจบสกอร์สุดท้ายกลับยิงไปตรงตัว เด เคอา จึงพลาดไปอย่างน่าเสียดาย
แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นประคองตัวไปเรื่อยๆ โดยเมื่อมีจังหวะก็พร้อมฉวยโอกาส เช่น ลูกที่ พาร์ค ตัดบอลได้จาก เอ็นริเก้ ก่อนกระชากบอลลากตัดในเขตโทษก่อนซัดเองด้วยซ้ายแต่บอลพุ่งห่างกรอบไปเยอะ ก่อนที่ช่วงเวลาที่เหลือของครึ่งแรก เกมจะจบลงด้วยการเสมอกันอยู่ 0-0
ครึ่งหลังเปิดฉากมาไม่ทันครบนาที แมนฯ ยูไนเต็ด ขอทักทายทันทีจากจังหวะการลากบอลของ แอชลีย์ ยัง ก่อนจะซัดด้วยขวาจากระยะกว่า 30 หลาบอลพุ่งหลุดกรอบไป ก่อนที่จ่าฝูงจะเปิดฉากบี้กดดันหนักทันที
แมนฯ ยูไนเต็ด มาได้ฟรีคิกระยะอันตราย ในช่วงเวลาต่อมาไม่นาน และเป็น ยัง ที่ปั่นบอลโค้งข้ามกำแพง เรน่า เหมือนจะไม่มีปัญหาแต่จังหวะตะปบบอลหลุดมือเกือบงานเข้าเหมือนกันดีที่ตามมารับได้ทัน
แต่ ลิเวอร์พูล ก็ยันได้และมีจังหวะใกล้เคียงเหมือนกัน โดยเป็นจังหวะลูกเตะมุม เดิร์ค เคาท์ ได้ขวิดบอลเน้นๆแต่บอลไปติดแขนของ อีแวนส์ แต่ผู้ตัดสินไม่เป่าให้ โดยที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็โต้กลับทันที และ เวลเบ็ค ได้โขกต่อให้ ยัง วอลเล่ย์ตามน้ำในเขตโทษบอลหลุดออกเสาไกลไป
เกมแลกกันสนุกขึ้นชัดเจน และในนาทีที่ 54 ซัวเรซ ได้โอกาสอีกครั้งโดยได้บอลแถวระยะ 30 หลาและเลือกเก็บบอลไว้กับตัวดึงจังหวะก่อนจะซัดไกลทันที แต่บอลเบาทำให้ เด เคอา รับได้ไม่เป็นปัญหา ก่อนที่ เจอร์ราร์ด จะได้บอลลุยเข้าเขตโทษบ้างก่อนเปิดยัดเสาแรกแต่ว่าก็ตรงตัว เด เคอา
ลิเวอร์พูล เริ่มกดดันได้มากขึ้นและมีการถอด ลูคัส ออกและให้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงมาเพื่อโยก เจอร์ราร์ด ไปปั้นเกมตรงกลางตามถนัดมากกว่า ขณะที่โอกาสในเกมยังเป็น ซัวเรซ เจ้าเก่าที่ขโมยบอลได้ก่อนจะยิงด้วยซ้ายไปแฉลบและเข้าหน้าต่าง
และนาทีที่ 67 ลิเวอร์พูล ก็มาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 โดยมาจากฟรีคิกในจังหวะที่ เฟอร์ดินานด์ ไปทำฟาวล์ ชาร์ลี อดัม ตรงหน้าเขตโทษพอดี เป็น เจอร์ราร์ด ที่โชว์ความเหนือชั้นด้วยการหลอก ยิงฟรีคิกลอดช่องกำแพงที่เหลืออยู่นิดเดียว บอลพุ่งโค้งเบียดเสาเข้าไปอย่างสุดเนียน
เฟอร์กี้ ส่ง รูนี่ย์ กับ นานี่ ลงไปแทน ยัง และพาร์ค ทันที ก่อนจะตามด้วย “ชิชาริโต้” ที่ลงไปแทน ฟิล โจนส์ โดยที่ ลิเวอร์พูล ก็ตีกรรเชียงเล่นประคองตัวเรื่อยๆเช่นกันไม่ได้ผลีผลาม
และในนาทีที่ 80 แมนฯ ยูไนเต็ด ก็บดจนเอาอยู่ โดยเป็นลูกเตะมุม นานี่ เปิดเข้ามากลางประตู เวลเบ็ค โหม่งเช็ด ต่อไปและเป็น “ชิชาริโต้” ที่จมูกไวโฉบมาโขกต่อระยะเผาเขนเข้าไป เป็นประตูตีเสมอ 1-1
ลิเวอร์พูล เกือบมาได้ประตูนำอีกรอบทันที โดยเป็น ดาวนิ่ง ที่เปิดบอลจากซ้ายเข้าไปที่เสาไกล เคาท์ โฉบมาเข้าฮอสได้ดีแล้วแต่ว่า เด เคอา ซูเปอร์เซฟได้อย่างเหลือเชื่อ ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะบุกกดดันอีกหลายช็อต
ช่วงท้ายเกม จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เกือบได้เป็นฮีโร่ เมื่อสบโอกาสได้ลองยิงลักไก่กะมุดใต้คาน แต่ว่า เด เคอา บินไปเซฟได้อีกแล้ว ก่อนที่ลิเวอร์พูล จะโหมต่อในจังหวะลูกเตะมุม บอลโดนบอมบ์เข้าเขตโทษมะรุมมะตุ้ม โดย ชาร์ลี อดัม ได้โขกต่อไปให้ ซัวเรซ แต่มี รูนี่ย์ ตามมาโขกดักได้ มาเข้าทาง สเคอร์เทล ก็ซัดข้ามคานออกไปอีก
ถัดมาเป็นโอกาสของ เฮนเดอร์สัน ที่ได้ขึ้นโขกบอลเปิดโดย ดาวนิ่ง แบบเหน่งๆแล้วแต่ว่าบอลข้ามคานออกไป ก่อนที่เกมจะจบลงด้วยการเสมอกันไปอย่างสุดมัน 1-1 แบ่งไปฝ่ายละแต้ม