"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล เกือบเดี้ยงซะแล้วหลังจากที่เป็นฝ่ายนำก่อนตั้งแต่ไก่โห่แต่ดันปล่อยให้ "ช่างปั้นหม้อ" สโต๊ค ซิตี้ กลับมาลุ้นสองครั้งสองคราสุดท้ายพลิกสถานการณ์ได้ประตูจากจุดโทษของ "สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด" และ "หลุยส์ ซัวเรซ" ที่วันนี้บวกเบิ้ลและ "ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์" ซูเปอร์ซับบุกมาเอาชนะ "ช่างปัั้นหม้อ" สโต๊ค ซิตี้ ไปแบบสุดหวิว 5-3 กลับขึ้นมาอยู่ที่ 4 ตามเดิม
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม 2557
สโต๊ค ซิตี้ 3-5 ลิเวอร์พูล
สนาม บริทานเนีย สเตเดี้ยม เปิดฉากเริ่มเกมมาสเตอร์ลิ่งลากบอลมาถึงกรอบเขตโทษด้านขวาก่อนเปิดไปให้ซิสโซโก้ที่ง้างมาแต่บ้านยิงด้วยซ้ายข้างถนัดทิศทางไปไหนไม่รู้แต่ไปโดนหน้าท้องของชอว์ครอสส์ก่อนเปลี่ยนทางตุงตาข่ายเฉยเลยท่ามกลางความงุนงงของคนทั้งสนาม
เกมมาถึงนาทีที่ 13 เคร้าช์ต้องออกไปปฐมพยาบาลก่อนเลยเมื่อเข้าปะทะกับตูเร่ตรงหน้ากรอบเขตโทษทำให้อดีตดาวยิงทีมชาติอังกฤษจำเป็นต้องไปสำรวจว่ามีเลือกตกยางออกบ้างหรือเปล่าที่ข้างสนามแต่ก็ลงมาเล่นได้เหมือนเดิมไม่มีปัญหา
ลิเวอร์พูลโต้กลับได้เสียวเหลือเกินโดยเป็นสเตอร์ลิ่งที่จับบอลได้กลางสนามก่อนลากเดี่ยวไปจนถึงหน้ากรอบเขตโทษด้านขวาแล้วจ่ายบอลขวางสนามมาให้คูตินโญ่ไม่จับวิ่งเข้ามาแปหวังให้เข้าสามเหลี่ยมเสาไกลแต่ก็ข้ามคานออกไป
ยิ่งทีโอกาสของเจ้าบ้านมีมากขึ้นเรื่อยๆคราวนี้เป็นการเดินเกมด้านขวาแล้วเปิดมาตรงกลางหวังให้เคร้าช์ขึ้นโขกแต่มิโญเล่ต์ออกมารับไม่ได้บอลกระฉอกมาถึงวิลเตอร์สวอลเล่ย์ไปติดบล็อคออกหลังและจังหวะเตะมุมสองหนของสโต๊คก็ทำให้"หงส์แดง"ปั่นป่วนไปเหมือนกัน
"หงส์แดง"กลับมาบุกได้ลุ้นเหมือนกันเมื่อคูตินโญ่เปิดเข้ากลางให้ซัวเรซได้โขกเบาๆก่อนที่บัตแลนด์จะพุ่งมาชกบอลเฉี่ยวหน้าไปนิดเดียวซึ่งหลังจากนั้นลิเวอร์พูลได้ฟรีคิกนอกกรอบระยะ 20 หลาทางด้านขวาเป็นซัวเรซยืนจังหวะวิ่งเข้ามายิงเลียดออกไปไหนก็ไม่รู้ซึ่งเจ้าตัวโวยวายว่าสมควรได้ลูกเตะมุมเพราะแฉลบกองหลังเจ้าถิ่นออกไป
แต่แล้วในนาทีที่ 32 สโต๊คพลาดมหันต์เลยโดยเป็นลูกเคลียร์ยาวจากสเคอร์เทลมาถึงวิลสันที่โขกคืนหลังก่อนที่จะโดนซัวเรซวิ่งเข้ามาฉกบอลก่อนถึงบัตแลนด์ซึ่งชอว์ครอสวิ่งมาก็ช่วยไม่ทันก่อนที่ดาวยิงอุรุกวัยจะแปบอลเข้าตาข่ายโล่งๆเป็นประตูที่ 21 ของเขาในพรีเมียร์ลีก
บทจะได้ก็ง่ายเหลือเกินสำหรับสโต๊ตในนาทีที่ 36 เป็นอาร์เนาโตวิชที่ลากบอลหนีนักเตะของลิเวอร์พูลตรงกราบขวาก่อนโยนเข้ากลางให้เคร้าช์ที่หันหลังหาประตูอยู่หวิดเล่นทางเข้าเสียบที่โคนเสาซ้ายมือมิโญเล่ต์พุ่งไปก็ไม่ถึงเสียแล้ว
แต่ถัดมาอีกนาทีเดียวทีมเยือนเกือบได้ประตูขึ้นนำห่างอีกครั้งโดยเป็นจังหวะที่ซัวเรซตักบอลเข้ากลางให้คูตินโญ่เอี้ยวตัววอลเล่ย์เต็มดอกแต่ก็ยังไปตรงตัวของบัตแลนด์ที่ผวามาปัดก่อนที่ชอว์ครอสจะมาเคลียร์ทิ้งจังหวะสุดท้ายก่อนที่ดาวเตะบราซิลจะปรี่เข้าซ้ำได้ทัน
นาทีสุดท้ายของครึ่งหลังสโต๊คมาได้ประตูตีเสมอเลยโดยเป็นเฮนเดอร์สันที่พลาดเตะบอลไปเข้าทางของอดัมส์ลากบอลมาก่อนหวดด้วยซ้ายเต็มข้อบอลลอดขาของสเคอร์เทลพุ่งเป็นจรวดเข้าไปกองก้นตาข่ายอย่างงดงามนับเป็นสองเด็กเก่าที่กลับมายิง"หงส์แดง"เรียบร้อย
ลงสนามมาเล่นกันต่อในช่วงครึ่งหลังในนาทีที่ 50 อยู่ดีๆสโต๊คก็มาเสียจุดโทษจากจังหวะที่พลาดเองกลางสนามวิลสันเตะไปติดสเตอร์ลิ่งก่อนที่ปีกอพอลโล่จะลากบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษด้านขวาก่อนจะโดนวิลสันสกัดล้มลงทำให้กรรมการเป่าเป็นจุดโทษเรียกว่าง่ายดายเหลือเกินโดยเป็นเจอร์ราร์ดที่รับหน้าที่วิ่งมาแปเข้าไปทางขวาส่วนบัตแลนด์พุ่งผิดทางไปแล้ว
ตอนนี้กรรมการโดนกดดันหนักเลยเป็นจังหวะฟรีคิกริมกรอบเขตโทษด้านขวาของสโต๊คที่อดัมส์เขี่ยกลับหลังมาให้อาร์เนาโตวิชยิงนอกกรอบบอลไปชนแขนของซัวเรซในกรอบเขตโทษแต่ภาพช้าแสดงให้เห็นว่าดาวยิงอุรุกวัยเอามือมาบังไว้ตรงอดของตัวเองซึ่งก็ไม่น่าเป็นแฮนด์บอลท่ามกลางการตะโกนด่าของแฟนบอลเจ้าบ้านว่า"ขี้โกง"
เกมผ่านมาครบชั่วโมงแล้วกลายเป็นทางฝั่ง"ช่างปั้นหม้อ"ที่ครอบบอลบุกแหลกจน"หงส์แดง"ต้องลงไปรับลึกเลยแต่ก็ยังทำได้ดีไม่ให้สโต๊คมีจังหวะอันตรายมากเท่าไหร่เรียกว่าตอนนี้บอลแทบจะพับสนามแล้ว
นาทีที่ 64 ลิเวอร์พูลพยายามเดินเกมบุกบ้างโดยเป็นราฮีมกับคูตินโญ่ทำชิ่งกันไปมาก่อนที่มิดฟิลด์แซมบ้าจะลากบอลเข้ากรอบเขตโทษด้านซ้ายแล้วหาช่องยิงแต่ก็เบาเกินไปเข้าซองของบัตแลนด์ที่รับเอาไว้สบายๆก่อนที่เขาจะโดนเปลี่ยนออกให้แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ลงมาเล่นแทน
ลูกนี้ต้องชมสเตอร์ริดจ์เลยในจังหวะโต้กลับที่เป็นดาวยิงทีมชาติอังกฤษกระชากมาจากกลางสนามก่อนล็อคบอลหนีกองหลังสโต๊คแล้วตอกส้นกลับไปให้"หม่อมกัด"ที่ยืนรอล่อเป้าอยู่แล้ววิ่งเข้ามายิงไปทางเสาไกลแบบสุดเฉียบคมเป็นประตูที่ 22 ในพรีเมียร์ลีก
ลิเวอร์พูลทำตัวเองให้เสียวบ้างเหมือนกันโดยเป็นลูกที่สโต๊คโยนเข้ามาในกรอบเขตโทษก่อนที่ตูเร่จะโขกไม่ดีบอลเกือบมุดคานไปซึ่งทำให้มิโญเล่ต์ต้องถอยไปปัดทิ้งออกหลังเป็นลูกเตะมุม
นาทีที่ 83 สโต๊คเกือบได้ประตูตีตื้นอีกเริ่มจากลูกทุ่มมาให้เคร้าช์พักบอลในกรอบเขตโทษด้านซ้ายแล้วกระดกไปทางเสาไกลให้วอลเตอร์สโขกย้อนศรมิโญเล่ต์โชว์ซูเปอร์เซฟปัดทิ้งไปได้แบบต้องยกนิ้วชมจริงๆ
อย่างไรก็ดี"ช่างปั้นหม้อ"มาได้ประตูจนได้เมื่อวอลเตอร์สคนเดิมได้บอลก่อนจะกลับมายิงลอดตูเร่และมิโญเล่ต์เข้าไปตุงตาข่ายเรียกเสียงเชียร์ของเจ้าถิ่นสนั่นลั่นทุ่ง
แต่แล้วก่อนหมดเวลา 3 นาทีดูเหมือนทีมเยือนจะมาได้ประตูตอกฝาโลงเลยในจังหวะโต้กลับเหมือนเคยที่ซัวเรซเปิดบอลมาให้สเตอร์ริดจ์ยิงก่อนจังหวะแรกไปติดมือของบัตแลนด์แต่หัวหอกตีนซ้ายยังไวลุกขึ้นมาก่อนซัดมุมแคบเข้าไปไม่เหลือเป็นประตูที่ 10 ของเขาในซีซั่นนี้
ช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้ายสโต๊ตได้เตะมุมมาเข้าหัวของเจอร์ราร์ดที่โขกสุดสวยเกือบเข้าประตูตัวเองแต่ยังดีที่มิโญเล่ต์เซฟไว้ได้สุดท้าย"หงส์แดง"ทำสถิติบุกมาชนะที่บริทานเนีย สเตเดี้ยมหนแรกโดยครั้งสุดท้ายพวกเขาบุกชนะสโค๊คที่วิคตอเรีย กราวน์เมื่อปี 1984 พร้อมกลับไปเป็นท็อปโฟร์เหมือนเดิม