"เด็กผี" ต้องร้องไห้ฟูมฟายหลังจากที่กำลังรอฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกแต่เจอทีเด็ด "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยิง 2 ลูกในช่วงทดเจ็บพลิกแซง "ควีนส์ พาร์คเรนเจอร์ส" 10 ตัวระทึก 3-2 ปาดหน้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสุดช็อกโกงความตายสุดระทึก
พรีเมียร์ลีก นัดปิดฤดูกาล
วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2555
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3 - 2 ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส
สนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม ในช่วงต้นนักเตะแมนเชสเตอร์ ซิตี้พยายามบีบเกมขึ้นมาสูงเพื่อหวังทำประตูขึ้นนำให้ได้เร็วแล้วก็มีโอกาสในนาที 6 จากจังหวะที่อเกวโร่ใช้ความขยันวิ่งซอยเท้ายิกๆไปเก็บบอลที่สุดเส้นหลังด้านขวาก่อนปั๊มบอลผ่านตัวประกบแล้วเปิดคืนให้เตเวซซัดด้วยซ้ายโดนไม่เต็มแต่บอลยังปลิ้นไปเข้าทางยาย่าได้กระทุ้งอีกทีแต่ก็โดนขวางทำให้ยิงไม่ถนัดบอลเลยพุ่งหลุดกรอบ
"เรือใบสีฟ้า"ยังเดินเกมบุกอย่างต่อเนื่องจนนาที 16 แบร์รี่แทงบอลทะลุไปให้เตเวซทางฝั่งซ้ายก่อนที่หัวหอกอาร์เจนไตน์เล่นสั้นไปยังซิลบาแล้ววิ่งทำทางเข้าไปในเขตโทษทว่าปีกสแปนิชไม่ยอมจ่ายคืนโดนเลือกแตะออกข้างเพื่อเปิดมุมแล้วสับไกยิงไปติดเซฟของเคนนี่ที่เสาแรก
นาที 23 ควีนส์ปาร์คมาได้ฟรีคิกหน้าเขตโทษเยื้องฝั่งซ้ายภายหลังแบร์รี่ยกเท้ายันใส่ซิสเซ่ในจังหวะแย่งลูกกลางอากาศแต่น่าเสียดายที่มือวางอันดับหนึ่งเรื่องเซตพีซอย่างทารับต์ถูกดร็อปไว้อยู่ที่ข้างสนาม สุดท้ายเลยเป็นซิสเซ่ที่ขอยิงเองโดยกดเลียดทะลุกำแพงไปโดนฮาร์ทล้มตัวดักไว้ได้
เจ้าบ้านมีเรื่องให้กังวลในนาที 35 เมื่อดูเหมือนว่ายาย่าจะมีอาการบาดเจ็บแถวแฮมสตริงก่อนล้มลงกองบนพื้นแป๊ปนึงแล้วส่งสัญญาให้ไมค์ ดีนทราบว่ายังไหว ขณะที่กองเชียร์รอบเอติฮัดก็ส่งเสียงโห่กดดันใส่เคนนี่นายด่านคิวพีอาร์ที่งัดแท็คติกถ่วงเวลามาใช้
ความพยายามของแมนฯซิตี้มาประสบผลในนาที 39 เมื่อซาบาเลต้าขึ้นเกมมาทางริมเส้นด้านขวาก่อนเปิดไปติดบล็อกเลยหันมาเล่นสั้นประสานงานกับเพื่อนแล้ววิ่งทำทางเข้าไปในเขตโทษก่อนที่ยาย่าผ่านบอลตามมาให้ได้กดเต็มข้อติดปลายมือเคนนี่แต่ด้วยความแรงบอลยังสปินเข้าไปซุกก้นตาข่ายที่เสาไกลทำให้เจ้าบ้านออกนำ 1-0 เมื่อจบครึ่งแรก
ขณะที่ยาย่า ตูเร่ซึ่งเพิ่งโดนเปลี่ยนตัวออกไปหลังมีอาการบาดเจ็บแล้วให้ไนเจล เด ยองก์ลงมาแทนช่วงท้ายครึ่งแรกนั้นอาจกลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ลูกหนังพรีเมียร์ลีกที่คว้าแชมป์ได้ในวันเกิดของตัวเองพอดี
กลับมาเล่นครึ่งหลังได้เพียงสามนาทีกองเชียร์เจ้าบ้านต้องเงียบกริบเมื่อเลสค็อตต์ไปโหม่งสกัดพลาดทำให้บอลไปเข้าทางซิสเซ่ได้จับแล้วแต่งบอลก่อนซัดผ่านตัวฮาร์ทไปเสียบเสาขวาเป็นประตูตีเสมอ 1-1 ทำให้โมเมนตรัมไปเข้าทางแมนฯยูเสียแล้ว
อย่างไรก็ตามควีนส์ปาร์คก็ดีใจอยู่ไม่นานเมื่อนาที 54 ต้องมาเหลือผู้เล่นแค่สิบคนหลังบาร์ตันมาโดนใบแดงไล่ออกจากสนามหลังไปเล่นนอกเกมด้วยการศอกใส่หน้าเตเวซ พอจังหวะชุลมุนก็ยังไม่เข่าใส่อเกวโร่อีกแถมยังมีคอมโบอีกชุดด้วยการเฮ้ดบัตต์ใส่ก็องปานี จนริชาร์ดส์ต้องลุกจากม้านั่งสำรองมากันออกไปแล้วยังเกือบมีปัญหาอีกหลังบาโลเตลี่ขอมีส่วนร่วมโดยเดินเข้าไปยั่วบาร์ตันเป็นการส่งท้าย งานนี้มีแบนยาวแน่นอน
พอตัวมากกว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้รีบลุยเข้าใส่ทันทีโดยที่นาที 56 นาสรี่สบโอกาสยิงไปโดนเคนนี่เซฟเอาไว้ได้ด้วยขา ขณะที่อีกสองนาทีถัดมานายด่านทีมเยือนก็โชว์ซูเปอร์เซฟอีกสองครั้งซ้อนเริ่มจากการบล็อกลูกยิงของเตเวซแล้วตามด้วยการป้องกันการวัลโวของอเกวโร่ในจังหวะถัดมา
บุกเพลินมากไป"เรือใบสีฟ้า"ก็เจอทีเด็ดของตัวสำรองควีนส์ปาร์คเล่นงานจนได้เมื่อนาที 65 ตราโอเร่ที่เพิ่งลงสนามมาไม่นานกระชากบอลขึ้นมาทางกราบซ้ายก่อนบรรจงเปิดเข้าไปหน้าประตูให้แม็กกีวิ่งเข้าโขกกดลงพื้นผ่านมือฮาร์ทเข้าไปตุงตาข่ายให้ทีมเยือนพลิกนำ 2-1 โอกาสคว้าแชมป์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมาแล้ว
โดนแซงนำไปแบบนี้แถมตัวยังมากกว่าก็ยิ่งทำให้"เรือใบสีฟ้า"เลือดขึ้นหน้าเปิดเกมรุกเต็มสตรีมจนนาที 73 ก็มีโอกาสจากการโหม่งของเตเวซแต่ถูกปฏิเสธไว้ได้โดยเคนนี่แถมจังหวะเข้าซ้ำของซาบาเลต้าก็ดันไปแฉลบออกหลังประตูอีก
นาที 79 อเกวโร่เก็บบอลได้ที่เส้นข้างสนามก่อนล็อกตัดเข้าในมาจ่ายให้เซโก้ทว่าเคนนี่ออกไปดักเลยทำให้กองหน้าบอสเนียกดหลุดเสาออกไปอย่างน่าเสียดาย ขณะที่นาทีถัดมาบาโลเตลลี่ที่ลงมาแทนเตเวซก็ได้อัดเต็มข้อแต่เคนนี่ยังชกออกไปอีก
ท้ายเกมแมนเชสเตอร์ ซิตี้มาสร้างปฏิหารณ์เมื่อเซโก้มาโขกลูกเตะมุมเข้าไปในช่วงทดเจ็บนาที 2 แถมต่อจากนั้นอีกสองนาทีอเกวโร่โซโล่เดี่ยวฝ่าแนวรับทีมเยือนเข้าไปยิงผ่านเคนนี่อย่างสวยงามให้ทีมพลิกแซง 3-2
คว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นหนแรกในรอบ 44 ปีโดยถือเป็นสมัยที่ 3 ต่อจากฤดูกาล 1936-37, 1967-68 แต่หากนับเฉพาะในพรีเมียร์ลีกก็เป็นสมัยแรกและเป็นทีมที่ 5 ที่ขึ้นแท่นครองแชมป์ต่อจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส, อาร์เซน่อลและเชลซี